“โคโลราโด โฉมใหม่”ปิกอัพยกระดับ คืนการขับแห่งสมดุล


ช่วงนี้ใครอยากได้ปิกอัพดีๆใช้สักคัน คงเลือกยากลำบากตัดสินใจ เพราะมองไปโชว์รูมไหนหรือสื่อช่องทางใดก็มีแต่“รถรุ่นใหม่”ขายกันเต็มไปหมด ซึ่งหลายยี่ห้อเป็นถึงโมเดลเชนจ์ ที่เปลี่ยนพื้นฐานวิศวกรรมยานยนต์แบบยกแผง

เช่นเดียวกับ เชฟโรเลต โคโลราโด โฉมใหม่ (All New Chevrolet Colorado) ที่เพิ่งส่งรถลงโชว์รูมสดๆร้อนๆพร้อมขายเมื่อ 17 ตุลาคมที่ผ่านมา กับทางเลือก 26 รุ่นย่อย ใน 3 ตัวถัง 2 บล็อกเครื่องยนต์

แม้ “โคโลราโด โฉมใหม่” จะเริ่มการพัฒนาในส่วนของโครงสร้างพื้นฐานและแชสซีส์ร่วมกับอีซูซุ ซึ่งถือเป็นดีลลดต้นทุนวิจัยตามสมัยนิยม แต่จีเอ็มก็ภูมิใจกับการต่อยอดพัฒนาด้วยฝีมือตนเองในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การออกแบบภายนอก ภายใน ขุมพลัง-ระบบขับเคลื่อน ที่สำคัญยังมีโรงงานผลิตเครื่องยนต์ (แห่งใหม่ที่จังหวัดระยอง) และแม่พิมพ์ชิ้นส่วนของตนเอง จนแทบไม่ต้องพึ่งอีซูซุอีกต่อไป (แต่หลายชิ้นส่วนยังออกมาจากซัพพลายเออร์เดียวกัน)

สำหรับตัวถังที่ใหญ่กว่ารุ่นเดิมทุกมิติ วางอยู่บนแชสซีส์อันแข็งแกร่ง พร้อมออกแบบให้มีคานขวาง 8 จุด ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ และคานขวาง7 จุด ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าแบบปีกนกสองชั้น หลังแหนบแผ่นซ้อนที่ปรับให้ยาวขึ้นกว่ารุ่นเก่า โดยวิศวกรออกแบบ-เซ็ทค่าให้สมดุลที่สุดทั้งกรณีวิ่งรถเปล่า และบรรทุกของหนัก

เหนืออื่นในตัวถังตอนครึ่ง “เอ็กซ์เทนเด็ด แค็บ” ยังออกแบบให้บานแค็บเปิดได้ 90 องศา เพื่อเพิ่มความ อเนกประสงค์ ซึ่งถือเป็นของใหม่ที่จีเอ็มเรียกเท่ๆว่า Flex Cab

โดยผู้เขียนมีโอกาสได้ลองขับตัว“เอ็กซ์เทนเด็ด แค็บ” ที่เริ่มผลิตก่อนเพื่อน ส่วนหนึ่งเพราะรุ่นนี้มีสัดส่วนขายมากที่สุด หรือคิดเป็น 70% ของทุกตัวถัง (4 ประตู 20% และตอนเดียว 10%)

..ก็ในเมื่อดีลเลอร์สั่งมาเยอะ“จีเอ็ม” จึงเริ่มทำรุ่นนี้ก่อน แต่กระนั้นถ้าใครจองรุ่น 4 ประตูไว้ ก็ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมก็คงรับรถได้เช่นกัน

ในส่วนของรูปลักษณ์ภายนอก ออกแบบได้สปอร์ตโฉบเฉี่ยว แต่แฝงความบึกบึนไว้กับเส้นสันฝากระโปรง ซุ้มล้อ ด้านข้างมีมุมกรีดคมไปจรดฝากระโปรงท้าย ทั้งนี้ในรุ่นท็อป LTZ จะใช้ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์เลนส์ ไฟท้ายใช้หลอดแอลอีดีวางเป็นรูปตัว C ดูโดดเด่นมีราคา พร้อมล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ประกบยางบริดจสโตน ดูลเลอร์ ไฮเวย์เทอร์เรน ขนาด 255/65 R17

ภายในรุ่น LTZ จะโดดเด่นสุดๆกับ ปุ่มกลมโตที่ควบคุมแอร์อัตโนมัติ พร้อมโชว์เลขดิจิตอลตัวใหญ่ ขณะที่เครื่องเสียงแบบบิวต์อินราบเรียบกับคอนโซลมองสบายตา ส่วนเรือนไมล์ด้านหน้าเรืองแสงสีน้ำเงิน วางมาตรวัดรอบไว้ด้านขวา ความเร็วไว้ด้านซ้าย คั่นกลางด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ทั้งอัตราบริโภคน้ำมัน ระยะทางที่วิ่งได้จากน้ำมันที่เหลืออยู่ ความเร็วเฉลี่ย ทริปมิเตอร์ และตำแหน่งเกียร์อัตโนมัติ เป็นต้น ขณะที่พวงมาลัยแบบสามก้านฝังปุ่มควบคุมเครื่องเสียง และโทรศัพท์ ไว้ทางซ้ายมือผู้ขับ





ทั้งนี้เครื่องเสียงแบบ 2 DIN เล่นวิทยุ CD MP3 ได้ 1 แผ่น พร้อมช่องต่อ AUX ส่วนช่องUSB เป็นแบบรูเล็ก ไม่ใช่รูมาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป ดังนั้นคงต้องหาซื้อสายมาต่อเชื่อม ถ้าหวังจะฟังเพลงกับ ทัมบ์ไดร์ฟ หรือบรรดา ไอ-พอด ไอโฟน ทั้งหลาย

ผู้เขียนนอกจากจะประทับใจกับการตกแต่งภายในที่ให้อารมณ์หรูหราแล้ว รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ขับ-ผู้โดยสาร ถือว่าจีเอ็มทำการบ้านมาดี ทั้งการวางปุ่มควบคุมกระจกไฟฟ้าตรงแผงประตู อยู่ตำแหน่งสูงและเอียงเข้าหาผู้ขับ หรือปุ่มปรับมุมกระจกมองข้างถูกฝังไว้บริเวณเสาร์เอพิลลาร์ ล้วนเห็นชัดปรับได้ถนัดมือ ตลอดจนช่องวางแก้ว-ขวดน้ำขนาดกลาง จัดไว้เต็มห้องโดยสาร ตั้งแต่คอนโซลกลาง(ใกล้เบรกมือ) ใต้ช่องแอร์ด้านมุมหน้า และแผงประตูข้างทั้งสองฝั่ง

ในส่วนของน้ำหนักบานประตู และแค็บเปิดได้ ไม่ถึงกับหนักมือ แต่จังหวะปิดและเสียงสนิทแน่นของบานประตู ผู้เขียนว่ารู้สึกว่า ยังไม่ “เนียนกริ๊ป” เท่าใดนัก ส่วนการเข้าออกต้องปีนขึ้นตามสไตล์ปิกอัพ(รุ่นยกสูง) แต่เชฟโรเลตก็ติดมือดึงตัว เอาไว้ให้ที่เสาเอพิลลาร์



ผู้เขียนได้ลองรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์ดูราแมกซ์ XLD28ดีเซล คอมมอนเรล ขนาด 2.8 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้าที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (ถ้าเป็นรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด จะให้แรงบิด 440 นิวตัน-เมตรที่ 2,000 รอบต่อนาที)

เมื่อดูจากตัวเลขแรงม้า-แรงบิดแล้ว อาจจะมาพร้อมความคาดหวังว่าจะ“แรง” แต่เมื่อขับจริงๆ โคโลราโด เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร จะให้กำลังแบบเนียนต่อเนื่องมากกว่าอารมณ์พุ่งพล่านดุดัน คือไม่ใช่ว่าจะอืดอะไรนะครับ เพียงแต่สมรรถนะไม่จัดจ้านแบบที่จินตนาการไว้ก่อนหน้า

โดยการขับและแช่ไว้ที่เกียร์ D อัตราเร่งมาแบบฉลุยนิ่มทุกย่านความเร็ว พลังส่งผ่านเกียร์ตอบสนองรวดเร็ว กดเรียกมาทันใช้ หรือถ้าอยากสนุกก็ดันคันเกียร์ไปด้านซ้าย เพื่อเลือกเล่นเปลี่ยนเกียร์เอง (+,-)แบบทริปทรอนิกก็สุดยอด

ขณะเดียวกันด้วยการใช้เกียร์อัตโนมัติถึง 6 สปีด พร้อมเซ็ทอัตราทดที่เหมาะสม ทำให้ความเร็ว 100 กม./ชม.ที่เกียร์สูงสุด รอบเครื่องยนต์จะอยู่เพียง 1,600 รอบเท่านั้น หรือบนความเร็ว 120 กม./ชม. รอบหย่อน 2,000 มานิดเดียว ซึ่งประเด็นนี้ก็มั่นใจเรื่องอัตราบริโภคน้ำมัน สำหรับการขับทางไกลได้ระดับหนึ่ง

ด้านพวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนค่อนข้างหนักมือ และเผื่อระยะฟรี จึงต้องใช้แรงและหมุนวงเลี้ยวเยอะพอสมควร ซึ่งการควบคุมอาจะเหนื่อยสักนิด ถ้าขับความเร็วต่ำบนการจราจรหนาแน่น แต่กระนั้นถ้าใช้ความเร็วเกิน 120 กม./ชม.ขึ้นไป กลับให้ความมั่นใจดีทีเดียว

ความมั่นใจดังกล่าวยังมาจากโครงสร้างการถ่ายเทน้ำหนักที่สมดุล ส่วนช่วงล่างที่แม้ด้านหลังจะวางแหนบเหนือเพลา แต่การขับความเร็วสูง ไม่ได้โยนเด้งจนปวดหัว ขณะเดียวกันก็ไม่กระด้างดิบ เมื่อขับผ่านสภาพถนนแย่ๆในเมืองไทย

นอกจากนี้ในรุ่นท็อป LTZ อาจจะต้องขอบคุณกับการจัดการพลังลงสู่ล้อให้มีเสถียรภาพด้วย แทรคชันคอนโทรล (TRC) และระบบควบคุมการทรงตัว (ESP) รวมถึงระบบสร้างสมดุลขณะเบรกในโค้ง (CBC -Cornering Brake Control) โดยระบบจะควบคุมแรงดันเบรกและลงน้ำหนักเบรกไปยังล้อทั้ง4 แบบอิสระ ตามความเหมาะสม เพื่อประสิทธิภาพการทรงตัวสูงสุด



อย่างไรก็ตามด้วยตัวแป้นเบรกที่แข็ง อาจต้องใช้แรงกดเยอะสักนิดถึงจะรู้สึกถึงการจับแบบชะลอพอดี ที่สำคัญจังหวะเบรกไม่ออกอาการหน้าทิ่ม หัวจิก ขณะที่ระยะเบรกจากความเร็ว 100 กม./ชม. ลงมาจุดหยุดนิ่ง ทำได้ 47 เมตร

ด้านอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยจากการขับขึ้นเขา-ลงเข้า ใช้ความเร็ว60-80 กม./ชม.(ขับเป็นขบวนตามกันไป) จนออกไปถนนใหญ่ใช้ความเร็วเฉลี่ย 120 กม./ชม. และมีบางช่วงถนนโล่งแอบลองทำความเร็วไปถึง 150-160 กม./ชม. ซ้ำเจอแยกไฟแดงจอดเป็นระยะ สุดท้ายผู้เขียนเห็นตัวเลขแสดงไว้ประมาณ 11กม./ลิตร

รวบรัดตัดความ... “โคโลราโด โฉมใหม่” จัดหนักอัดเต็มทั้งออปชันอำนวยความสะดวก-ปลอดภัย ขุมพลังดีเซล 2.8 ลิตร 470 นิวตันเมตร ประกบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เปิดมิติใหม่ให้วงการปิกอัพ การขับตอบสนองดี อัตราเร่งต่อเนื่องแบบสมเหตุสมผล ช่วงล่าง-การทรงตัวนับเป็นจุดเด่น พร้อมโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ ใหญ่และแกร่งกว่าเดิม ซึ่งจีเอ็มคุยว่าสามารถบรรทุก และลากจูงน้ำหนักได้ถึง 3.5 ตัน

...ถ้าวัดกันที่ตัวรถอย่างเดียว “ปิกอัพจีเอ็ม” ตอนนี้ไม่เป็นรองใครในตลาด ดังนั้นด้วยคุณภาพโปรดักต์ และการบูรณาการด้านการผลิต บริหารชิ้นส่วน-อะไหล่ ที่พร้อมกว่าเดิม ส่วนเครือข่ายการขาย-บริการหลังการขาย ไม่มีเวลาหาข้ออ้างปัญหาใดๆอีกแล้ว...ผู้เขียนว่า สุดท้ายถ้าคนไทยตัดใจไม่ซื้อ“รถ เชฟโรเลต” อาการคงไม่หนักเท่าคนหมดความเชื่อถือใน “แบรนด์ เชฟโรเลต” นะครับ












0 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม