ครม.ไฟเขียว-ลดภาษีซื้อรถคันแรก 16 ก.ย.นี้



วันที่ 13 ก.ย. นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ มาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาทให้กับประชาชนที่ซื้อรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.54-31 ธ.ค.55 สำหรับผู้ซื้อรถยนต์ขนาดเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี เฉพาะรถยนต์นั่ง ส่วนรถกระบะ กระบะดับเบิ้ลแคป ไม่กำหนดซีซี โดยกำหนดราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท

เบื้องต้นเชื่อว่า ผลจากมาตรการดังกล่าวจะทำให้มีประชาชนซื้อรถยนต์เพิ่มอีกประมาณ 5 แสนคัน

ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้จากการคืนภาษีสรรพสามิตประมาณ 3 หมื่นล้านบาท แต่ในทางกลับกันกระทรวงการคลังจะมีรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีนิติบุคคลที่ได้จากบริษัทรถยนต์ที่จะมีรายได้เพิ่มเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าจะมีรายได้สูงกว่าภาษีที่ต้องคืน

“ที่ประชุมครม. เป็นห่วงว่าหากเริ่มมาตรการนี้ในวันที่ 1 ต.ค.54 อาจทำให้คนชะลอการซื้อรถยนต์ จึงเห็นควรว่าให้เริ่ม 16 ก.ย.นี้แทน ส่วนการคืนภาษีก็ให้สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาทตามอัตราภาษีเช่นอีโคคาร์เสียภาษี 17% ถ้ารถราคา 5 แสนบาท ก็จะได้ภาษีคืน 7-8 หมื่นบาท” นายบุญทรงกล่าว

ทั้งนี้ การคืนภาษีนั้นจะมีการทยอยคืนภายใน 1 ปีหลังจากซื้อขายรถยนต์ โดยจะจ่ายคืนเช็ค โดยมีเงื่อนไขห้ามเปลี่ยนมือเด็ดขาดภายใน 5 ปี โดยหากมีประชาชนรายใดเปลี่ยนมือก่อน 5 ปีจะต้องคืนเงินภาษีให้กับกรมสรรพสามิตต่อไป

นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก(ขบ.) กล่าวว่า

ขบ.เตรียมเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายชื่อการยื่นขอจดทะเบียนการครอบครองรถยนต์ไปยังกรมสรรพสามิต ให้นำไปใช้ในการตรวจสอบว่าผู้ที่ยื่นขอใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีรายชื่อเคยยื่นขอจดทะเบียนกับขบ.มาก่อนก็จะถูกตัดสิทธิ์ เนื่องจากโครงการดังกล่าวต้องการช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถมีรถยนต์คันแรกเท่านั้น

ส่วนการประทับตราห้ามซื้อขายเปลี่ยนมือรถยนยต์ภายใน 5 ปี เพื่อป้องกันการนำรถไปขายต่อเพื่อเก็งกำไรนั้น กรมสรรพสามิตจะเป็นผู้ดำเนินการประทับตราห้ามซื้อขายลงในสมุดทะเบียน หลังจากที่ผู้ซื้อนำสมุดทะเบียนที่ขบ.ออกให้ไปยื่นขอตรวจสอบและใช้สิทธิ์ที่กรมสรรพสามิต

“การตรวจสอบฐานข้อมูลการครองครองรถยนต์คันแรกขณะนี้อาจจะไม่สมบูรณ์นักเนื่องจากฐานข้อมูลการยื่นจดทะเบียนของขบ.ในปัจจุบัน จัดทำขึ้นจากการเก็บสถิติจากการยื่นจดทะเบียน ตั้งแต่ช่วงหลังปี’49 เป็นต้นมา เท่านั้น อาจทำให้ข้อมูลที่มีอยู่ ไม่ครอบคลุมและสะท้อนความเป็นจริงเรื่องการครอบครองรถยนต์คันแรก ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของรัฐบาลที่ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเฉพาะคนที่มีรถคันแรกเท่านั้น แต่ขบ.ได้แจ้งให้รัฐบาลรับทราบปัญหาดังกล่าวแล้ว ซึ่งกรมสรรพสามิตจะต้องไปหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป หรืออาจจำเป็นต้องยกประโยชน์ให้จำเลยสามารถใช้สิทธิ์ขอลดหย่อนภาษีได้ หากเป็นผู้ที่เคยยื่นจดทะเบียนการซื้อรถยนต์แล้วก่อนหน้าปี’49” นายเทียนโชติ กล่าว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เปิดหลักเกณฑ์คืนภาษี รถคันแรก ซื้อก่อนปี 49 ส้มหล่น!!!






เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

ทันทีที่ มติ ครม.เมื่อวันที่ 13 กันยายน ไฟเขียวมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ก็ส่งผลให้ทั้งผู้ที่ฝันอยากจะมีรถคันแรกหลายคนถึงกับเฮ ที่จะได้รับสิทธิจากนโยบายนี้ ขณะที่ค่ายรถน้อยใหญ่ต่างก็ขานรับ และเร่งปรับกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายกันจ้าละหวั่น หลังจากก่อนหน้านี้นโยบายดังกล่าวยังสร้างความสับสนในรายละเอียด ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อรถยนต์เป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ใครจะเดินเข้าไปเลือกซื้อรถยนต์ เพื่อรับสิทธิ์คืนภาษีแล้ว ผู้ซื้อต้องตรวจสอบหลักเกณฑ์ของนโยบายนี้ให้แน่ชัดเสียก่อน เพื่อพิจารณาให้ดีว่า เราเข้าข่ายได้รับสิทธินี้หรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์นโยบายรถคันแรก มีดังนี้

1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ

2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555

3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน

4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)

5.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)

6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน

7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์

9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน

10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้

11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย

สำหรับแนวทางการดำเนินงาน หลังจากซื้อรถยนต์ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นในช่วงวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555 แล้วนั้น ผู้ซื้อรถคันแรกต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้

- หนังสือยินยอมสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปี

- สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ

- สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)

จากนั้นกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ จะส่งหนังสือถึงกรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิการโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ ก่อนที่กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน

เมื่อบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์แล้ว กรมการขนส่งทางบก หรือสำนักงานขนส่งจังหวัด จะส่งหนังสือรับรองการครอบครองรถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ให้กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ เมื่อกรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จะสั่งจ่ายเช็คเงินสดคืนให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบจากราคารถยนต์ และอัตราภาษีของรถยนต์ประเภทต่าง ๆ ในท้องตลาด เพื่อคิดเป็นสัดส่วนเงินภาษีที่จะได้รับคืน จะพบว่า

- รถอีโคคาร์ ราคาประมาณคันละ 3.75-5.4 แสนบาท เก็บภาษี 17% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเฉลี่ย 45,000 บาท

- รถยนต์นั่งขนาดเล็ก (ไม่เกิน 1,500 ซีซี) ราคาประมาณคันละ 5-7 แสนบาท เก็บภาษี 25% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท

- รถกระบะ 2 ประตู ราคาประมาณคันละ 3-5 แสนบาท เก็บภาษี 3% ผู้ซื้อจะได้รับเงินเฉลี่ย 10,000 บาท

- รถกระบะ 4 ประตู ราคาประมาณคันละ 7-8 แสนบาท เก็บภาษี 12% ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนเฉลี่ย 60,000 บาท

โดยมาตรการการคืนเงินภาษีดังกล่าวนี้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง มั่นใจว่าจะก่อให้เกิดผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีได้ทุกประเภท ทั้งภาษีรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นเงินที่มากกว่าจำนวนเงินที่จะต้องใช้คืนภาษีรถคันแรก โดยจะใช้งบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท และเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน

อย่างไรก็ตาม รมช.คลัง ยอมรับว่า ยังไม่ได้หารือแนวทางการป้องกันการสวมสิทธิ์ แต่ก็จะขอร้องให้ผู้ที่จะมาสวมสิทธิ์แสดงความเห็นใจบุคคลที่ยังไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองด้วย

ขณะที่ นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวถึงการดำเนินงานตามมาตรการรถคันแรก ว่า ทางกรมขนส่งทางบกจะเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายชื่อการยื่นจดทะเบียนการครอบครองรถยนต์ไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อตรวจสอบว่า ผู้ที่ยื่นขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีรถคันแรกเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่ หากพบว่ามีรายชื่ออยู่ก็จะถูกตัดสิทธิทันที

สำหรับโครงการนี้ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยอมรับว่า ยังมีปัญหาเรื่องฐานข้อมูลการยื่นจดทะเบียนรถยนต์ เพราะฐานข้อมูลมีบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ถึงปัจจุบันเท่านั้น แต่ช่วงก่อนหน้าปี พ.ศ.2549 ยังไม่ได้มีการเชื่อมฐานข้อมูลให้ออนไลน์ทั่วประเทศ ทำให้ฐานข้อมูลไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ดังนั้น อาจต้องยกประโยชน์ให้กับผู้ที่เคยยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์ก่อนปี พ.ศ.2549 สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน





คืนภาษีเก๋งเล็กรับเต็ม-ปิกอัพหลักหมื่น

ข่าวในประเทศ - เก๋งไม่เกิน 1500ซีซี และปิกอัพถูกหวย! ครม.อนุมัติมาตรการคืนเงินภาษีผู้ซื้อรถคันแรก ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาท เก๋งเล็กรับอาณิสงส์เต็มๆ โดยเฉพาะซับคอมแพกต์ที่น่าจะรับเงินคืนสูงสุดเต็ม 1 แสนบาท อีโคคาร์ประมาณ 6.5 หมื่นบาท คาดดันยอดขายเก๋งเล็กปีนี้พุ่ง 2.5 แสนคัน ขณะที่ปิกอัพคืนเริ่มต้นกว่าหมื่นบาทขึ้นไป ผู้ประกอบการประสานเสียง ดันอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยพุ่งแน่ ปีหน้ามีสิทธิ์เห็นตัวเลขการผลิตทะลุ 2 ล้านคัน ส่งผลดีต่อวงจรการผลิตทั้งระบบ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ น่าจะคุ้มกับเงินที่รัฐจ่ายไป 3 หมื่นล้านบาท

วานนี้ (13 ก.ย.) นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการยกเว้นภาษีสรรพสามิตรถคันแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้กับผู้ซื้อรถคันแรกคันละไม่เกิน 1 ล้านบาท ทั้งรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพทุกประเภท เช่น หากเป็นอีโคคาร์อัตราภาษีสรรพสามิตอยู่ที่ 17% ของราคาขายกว่า 5 แสนบาท อัตราภาษีอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นกว่าบาท หรือปิกอัพธรรมดาอัตราภาษี 3% ส่วนปิกอัพแบบ 4 ประตู(Double Cab) อัตราภาษี 12% ก็ให้คำนวณตามฐานภาษีดังกล่าว แต่สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท

“เดิมกรมสรรพสามิตเสนอให้เริ่ม 1 ต.ค. แต่ครม.เห็นว่าหากจะทำให้มีการชะลอการซื้อขายรถในขณะนี้ จึงมีมติให้เริ่ม 16 ก.ย. นี้ ไปจนถึง 31ธ.ค.2555 โดยคาดว่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการประมาณ 5 แสนคน คิดเป็นงบประมาณราว 3 หมื่นล้านบาท” นายบุญทรงกล่าวและว่า วันนี้ (14 ก.ย.) กรมสรรพสามิตจะเชิญผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศทุกค่าย สถาบันการเงินที่จะปล่อยสินเชื่อ บริษัทประกันภัยรถยนต์มารับฟังการชี้แจง รายละเอียด แนวทางปฎิบัติให้รับทราบโดยทั่วกัน

สำหรับหลักเกณฑ์การคืนเงินมาตรการรถคันแรก ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่มีอายุตั้งแต่ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซื้อตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555 เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน โดยรถยนต์นั่ง หรือเก๋งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพทุกประเภท ซึ่งต้องเป็นรถยนต์ที่ประกอบในประเทศ ไม่รวมรถยนต์จากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ(จดประกอบ) โดยการคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครอง 1 ปีไปแล้ว และคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน และผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี

นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คาดว่าจะมียอดจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้สิทธิ์ในมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน เน้นรถประหยัดพลังงาน(อีโคคาร์) รถยนต์นั่งขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี และปิกอัพ โดยมีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท

“รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสำหรับการชดเชยภาษีสรรพสามิตดังกล่าวไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท และมั่นใจว่าจะไม่เป็นภาระงบประมาณ เพราะมาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นยอดขายรถยนต์ในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลจะได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีรถยนต์เพิ่มขึ้นด้วย”

ปิกอัพคืนหลักหมื่น-เก๋งเต็มแสนบาท

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ โฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผย”ASTV ผู้จัดการรายวัน” ว่า มาตรการคือเงินภาษีผู้ซื้อรถคันแรก อาจจะไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด แต่ถือว่าตรงกับเป้าหมายของรัฐบาล ที่ต้องการเน้นรถประหยัดพลังงาน เป็นผู้ซื้อรถคันแรก และถือว่าเป็นกลุ่มใหญ่สุดในตลาดรถยนต์ไทยปัจจุบัน

“เงินภาษีที่คืนกับผู้ซื้อรถคันแรก น่าจะกระตุ้นตลาดเก๋งขนาดเล็กได้มาก เพราะจำนวนเงินที่คืนกับผู้ซื้อรถมีปริมาณดึงดูดใจชัดเจน โดยอีโคคาร์คาดว่าจะประมาณกว่า 6 หมื่นบาท และเก๋งทั่วไปที่มีขนาดไม่เกิน 1500 ซีซี สูงสุดน่าจะได้คืนเต็ม 1 แสนบาท หรือใกล้เคียง ขณะที่ปิกอัพอยู่ที่ประมาณ 1.5 หมื่นบาทเป็นต้นไป เพราะเสียภาษีสรรพสามิตต่ำเพียง 3% หรือปิกอัพ 4 ประตูอยู่ที่ 12%”

อย่างไรก็ตาม จำนวนการคืนเงินภาษีดังกล่าว เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดรถในประเทศได้มากทีเดียว แต่ทางกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่สรุป คาดว่าน่าจะมากกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ 9 แสนคันในปีนี้ และ 1 ล้านคันในปี 2555 ที่สำคัญมาตรการนี้จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ไทยขยายตัว จากเดิมที่คาดว่าปีหน้าจะผลิตประมาณ 2 ล้านคัน จากปีนี้ประเมินผลิต 1.8 ล้านคัน เมื่อมาตรการคืนเงินภาษีรถให้กับผู้ซื้อรถคันแรก จึงเชื่อว่าอาจจะทำให้การผลิตในไทยมากกว่า 2 ล้านคันได้

เชื่อส่งผลดีต่อวงจรผลิต-3หมื่นล.คุ้ม

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ตรงนี้จะส่งผลดีต่อวงจรการผลิตรถยนต์ไทยทั้งระบบ ตั้งแต่โรงงานประกอบรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วน การจ้างแรงงานในภาคอุตสาหกรรม หรือแม้แต่วัตถุดิบที่นำมาผลิตอย่างยางธรรมชาติเป็นต้น และจะเป็นส่วนผลักดันให้เกิดการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทดแทนความกังวลที่จะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวได้

“สิ่งที่น่าเป็นห่วงเงินงบประมาณที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในมาตรการดังกล่าว 3 หมื่นล้านบาท จะทำให้เกิดผลกระทบต่อส่วนอื่นหรือไม่ แต่ดูแล้วน่าจะคุ้มกับการใช้งบประมาณดังกล่าวแน่นอน” นายสุรพงษ์กล่าว

นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผย “ASTV ผู้จัดการรายวัน” ว่า มาตรการคืนภาษีผู้ซื้อรถคันแรกถือเป็นสิ่งที่ดี ในการช่วยกระตุ้นตลาดและอุตสาหกรรมรถยนต์ไทย โดยระยะเวลากว่า 15 เดือน ในการดำเนินโครงการ ทำให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจได้ และกระบวนการผลิตก็สามารถดำเนินการได้ รวมถึงสามารถกระตุ้นตลาดได้อย่างชัดเจน

“มาตรการนี้ถือว่าเหมาะสมกับเป้าหมายของมาตรการ เพราะเป็นกลุ่มที่ลูกค้าซื้อรถเป็นคันแรก และการจำกัดเฉพาะรถผลิตในประเทศ ทำให้เกิดการเพิ่มกำลังการผลิตขึ้น ส่งผลบวกต่อวงจรการผลิตทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ และผู้ผลิตชิ้นส่วน ตลอดจนกระบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งย่อมจะทำให้เกิดผลดีต่อสภาวะเศรษฐกิจไทยได้”

ตารางแสดงรุ่นรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เตรียมรับสิทธิ์คืนภาษีสรรพสามิตสำหรับรถคันแรก โดยที่มาราคาอ้างอิงจากเว็บไซต์ของแต่ละยี่ห้อ และทั้งนี้ รายละเอียดการเก็บภาษีในแต่ละรุ่นจะไม่เท่ากัน ต้องรอการเปิดเผยข้อมูลจากค่ายรถยนต์และกรมสรรพสามิต เกี่ยวกับตัวเลขการคืนเงินที่ชัดเจนอีกครั้ง
มั่นใจผลิตรถรองรับตลาดพุ่งได้แน่

นายวุฒิกรกล่าวว่า ในส่วนของโตโยต้ามีทั้งรถรุ่นวีออส และยาริส รวมถึงปิกอัพโตโยต้า ไฮลักซ์ วีโก้ แต่ผู้ซื้อรถได้รับเงินคืนเท่าไหร่ ตอนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ โดยในวัน 14 ก.ย.นี้ รัฐบาลจะเชิญผู้ประกอบการไปรับฟังรายละเอียดทั้งหมดอีกที แต่เชื่อว่ามาตรการคืนภาษีผู้ซื้อรถคันแรก จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ไทยเติบโตแน่นอน

“ความต้องการที่สูงขึ้นจากมาตรการคืนเงินภาษีสูงสุด 1 แสนบาท มั่นใจว่าบริษัทรถจะมีกำลังการผลิตรองรับลูกค้าได้ เพราะปัจจุบันแทบจะทุกบริษัทกลับมาเต็มที่แล้ว หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิ และเชื่อว่าแต่ละบริษัทจะพยายามรองรับความต้องการลูกค้าเต็มที่ อาจจะรอบ้างแต่คงไม่นานจนผิดปกติ”

นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโส บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แม้เป็นนโยบายระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเกิดดีมานด์ใหม่ในตลาด เพราะลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ง่าย แต่สุดท้ายตลาดจะขยายตัวมากขนาดไหนยังยากที่จะบอก เพราะเงื่อนไขและรายละเอียดต่างกันไปในแต่ละรุ่น

“อย่างไรก็ตาม จากการคาดหมายของบริษัทว่า ยอดขายรถยนต์รวมในปี 2555 จะถึง 1 ล้านคัน หรือเติบโต 9% เมื่อเทียบกับปี 2554 คงถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ขณะที่ฮอนด้าหวังจะเติบโตสอดคล้องกับทิศทางตลาด ซึ่งบริษัทเตรียมกำลังผลิตรถยนต์ทุกรุ่นไว้รองรับกับความต้องการของลูกค้าแล้ว”

ส่วนการแข่งขันในตลาดเก๋งและปิกอัพ น่าจะดุเดือดเหมือนเดิม เพราะไม่ใช่การลดราคาจากค่ายรถยนต์ แต่เป็นเรื่องของลูกค้ากับกรมสรรพสามิต ทั้งนี้กรมสรรพสามิตจะต้องทำรายละเอียด แจ้งอย่างเป็นทางการว่ามีรถรุ่นใดอยู่ในเงื่อนไขของโครงการ และถึงกำหนดจะได้เงินภาษีคืนเท่าไหร่ เช่นเดียวกับฮอนด้าก็เตรียมชี้แจงรายละเอียดให้ลูกค้าทราบ ยกตัวอย่างฮอนด้า ซิตี้ และแจ๊ซ รุ่นท็อป ปกติเสียภาษีสรรพสามิตเต็ม 25% ลูกค้าจึงมีสิทธิ์ได้เงินภาษีคืนสูงสุด 100,000 บาท

มาสด้าตีปีก-เก๋งเล็กปีนี้พุ่งทะลุ2.5แสน

นางสุรีทิพย์ สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่ทางรัฐบาลได้อนุมัติโครงการคืนเงินภาษีรถคันแรก น่าจะได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีโดยเฉพาะกลุ่มเก๋งขนาดเล็กไม่ว่าจะเป็นอีโคคาร์ หรือเก๋งซับคอมแพ็กต์ที่มีเครื่องยนต์ไม่เกิน 1500 ซีซี

“เก๋งขนาดเล็กเป็นตลาดใหญ่ในกลุ่มรถยนต์นั่ง โดยปีที่ผ่านมามียอดขายกว่า 2.2 แสนคัน และเมื่อมาตรการคืนเงินภาษีรถคันแรกของรัฐบาลออกมา มั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้มีตัวเลขการเติบโตอย่างมาก ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมากกว่า 2.5 แสนคันแน่นอน”

สำหรับมาสด้ามีรถยนต์ที่ลูกค้าซื้อรถคันแรก สามารถขอรับคืนเงินภาษีได้หลายรุ่น ไม่ว่าจะเป็นมาสด้า 2 ใหม่ ทั้งรุ่นสปอร์ต 5 ประตู และเอลิแกนซ์ 4 ประตู เครื่องยนต์ขนาด 1500 ซีซี ซึ่งรุ่นท็อปน่าจะสามารถได้คืนภาษีสูงสุด 1 แสนบาท และปิกอัพ มาสด้า บีที-50 ซึ่งเข้าข่ายได้รับสิทธิ์ในโครงการนี้เช่นกัน พร้อมกับยังคงมีแคมเปญส่งเสริมการขายปกติเหมือนเดิม

เปิดราคารถถูกยั่วใจ รับโยบายรถคันแรก!!

จากกรณีคณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติการลดภาษีรถคันแรก 100,000 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 เป็นต้นไป โดยเงื่อนไขจะคืนภาษีหลังจากซื้อ 1 ปี ซึ่งสามารถขอคืนได้จากฐานคำนวนภาษี โดยแต่ละยี่ห้อจะได้รับเงินคืนไม่เท่ากัน

หลักเกณฑ์การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรก

1.เป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2554 จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2555
2.เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน
3.เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)
4.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)
5.คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน
6.ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
7.ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี
8.การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี ไปแล้ว (เริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2555 เป็นต้นไป)

แนวทางการดำเนินงาน

1.ผู้ซื้อรถยนต์ดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ต้องยื่นคำขอคืนเงินกับกรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ พร้อมเอกสารหลักฐาน ดังนี้
-หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปี
-สำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านของผู้ซื้อ
-สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)
2.กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่มีหนังสือถึงกรมการขนส่งทาง บกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัด เพื่อขอตรวจสอบการครอบครองรถยนต์คันแรก และแจ้งการสละสิทธิ์การโอนภายใน 5 ปีของผู้ซื้อ
3.กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดตรวจสอบและบันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ลงในคอมพิวเตอร์และในสมุดคู่มือการจดทะเบียน
4.กรมการขนส่งทางบกหรือสำนักงานขนส่งจังหวัดส่งหนังสือรับรองการครอบครอง รถยนต์คันแรก และสำเนาคู่มือการจดทะเบียนที่บันทึก "ห้ามโอนภายใน 5 ปี" ให้กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่
5.กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ และสั่งจ่ายเช็คให้แก่ผู้ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป

ทั้งนี้เราได้คำนวนราคารถเมื่อได้รับการลดภาษีในรุ่นที่อยู่ในหลักเกณฑ์ โดยวิธีคิดเริ่มจากการหักภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ออกจากราคารถปัจจุบัน และคำนวนจากฐานภาษีที่ 25%

อย่างไรก็ตามการคำนวนครั้งนี้เป็นเพียงการคำนวนเบื้องต้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้จริง โดยราคาจริงควรตจิดต่อศูนย์บริการรถที่สนใจโดยตรง

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม