Ford - Toyota เล็งพัฒนากระบะไฮบริดเตรียมเริ่มงานปีหน้า

ค่ายรถยนต์อเมริกัน-ญี่ปุ่นลงนามจับมือเตรียมแผนพัฒนาระบบไฮบริดในรถกระบะ-รถอเนกประสงคืรุ่นต่อไป พร้อมระบบเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ Real times

นายเดอร์ริค คูแซค รองประธานฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ Ford Motor เปิดเผยในระหว่างการลงนามบันทึกความเข้าใจ(MOU) ระหว่างบริษัท Ford Motor และ Toyota Motor ว่า การร่วมมือกันของ 2 ยักษ์ใหญที่ประประสงความสำเร็จในตลาดไฮบริดนั้น เป็นการก้าวไปอีกขั้น เพื่อพัฒนาระบบนี้ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม และลูกค้าสามารถเข้าถึงได้มากขึ้นในราคาที่ย่อมเยาลง

Ford-Toyota Hybrid

นายเดอริคกล่าวต่อไปว่า Ford ประสบความสำเร็จมากในการผลิตรถยนต์ไฮบริดและแนะนำสู่ตลาด โดยเฉพาะ Ford Fusion Hybrid และรถกระบะก้นับเป็นอีกสิ้นค้าที่มีชื่อเสียงของบริษัท เช่นเดียวกับรถอเนกประสงค์ (SUV) ที่เรามีความประสงค์ที่จะทำอย่างนั้นเช่นกัน

ด้าน นาย ทาเคชิ อูชิยามาดะ รองประธานบริหารฝ่ายพัฒนาและวิจัยของ Toyota กล่าวว่า ในปี 1997 เราได้มีการแนะนำ Prius รุ่นแรก ในฐานะรถยนต์ไฮบริดและจวบจนปัจจุบันเราได้ขายรถยนต์ไฮบริดไปแล้วกว่า 3.3 ล้านคันทั่วโลก ซึ่งเราหวังว่าจะได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นเต้นกับค่าย Ford โดยเฉพาะเมื่อทั้ง 2 ค่ายต่างมีประสบการณ์ในการพัฒนาระบบไฮบริด

ทั้งนี้ในการลงนามล่าสุดระหว่าง ford และ Toyota นั้นเป็นการลงนามบันทึกความเข้าใจ ในการที่ทั้ง 2 บริษัทจะพัฒนาระบบไฮบริดใหม่อย่างอิสระระหว่างกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อนำระบบดังกล่าวไปติดตั้งในรถกระบะรุ่นใหม่ของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งจะขับเคลื่อนแบบ Rear-Wheel Drive

Ford-Toyota Hybrid

"การทำงานร่วมกันจะทำให้เราสามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้ด้วยระบบเครื่องยนต์ที่ล้ำสมัยที่สุด ที่มาพร้อมการประหยัดน้ำมันที่ขั้น" นายอลัน มูลลาลี่ ประธานและCEO Ford Motor กล่าว "การร่วมมือกันครั้งนี้นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการลดการพึ่งพาพลังงานโดยไม่จำเป็นและยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วย"

Ford-Toyota Hybrid

อย่างไรก็ดีในข้อตกลงล่าสุดนี้นอกจากการพัฒนาระบบไฮบริดร่วมกันแล้ว ยังมีความตกลงกันในเรื่องระบบสื่อสารของรถ โดยใช้รูปแบบเทคโนโลยีเดียวกัน โดย ford จะใส่ระบบ My Ford touch ส่วน Toyota จะใส่ระบบ G-link และยังมีระบบช่วยเหลือผู้พิการอย่าง Entune ด้วย

ภาพประกอบจาก Netcarshow.com

งานนี้ สนุกแน่ เพราะ แม้ Ford กำลังจะเตรียมคลอด Ford Ranger ใหม่ ออกมาให้เราจับจองเป็นเจ้าของ แต่การร่วมมือครั้งนี้ทำให้เรามองเห็นความเป็นไปได้ในอนาคตที่เราอาจจะพบ Ranger / Vigo Hybrid และอาจจะเป็นเหตุผลหลักที่ Toyota พยายามยื้อชีวิตกระบะรุ่นใหม่หมดจดออกไปอีกสักระยะหนึ่ง

Volkswagen UP! ...ซิตี้คาร์น้องใหม่จากค่ายยุโรป

ช่วงนี้ต้องยอมรับว่าหันไปทางไหนก็เจอแต่รถซอตี้คาร์ ยิ่งเมื่อไม่นานมานี้การออกมาเปิดเผยว่าอีกไม่เกิน 2 ปีข้างหน้ารถ 6 ในจำนวน 10 คันที่วิ่งบนถนนจะเป็นรถขนาดเล็ก ยิ่งทำให้ค่ายรถพยายามเดินหน้าเต็มสูบเข้ามาแบ่งตลาดรถยนต์กลุ่มนี้ที่ล่าสุดก็เป็นของอีกหนึ่งค่ายเยอัมันที่ตีตื้นขึ้นมา และหวังว่าอีกไม่ช้าจะผงาดเป็นเบอร์ 1 ของโลก

ข่าวคราวของซิตี้คาร์จากค่าย Volkswagen นั้นดูจะมีมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเจ้าตำนานอย่าง Volkswagen golf หนึ่งในรถต้นตำหรับซิตี้คาร์ ที่วันนี้ Volkswagen ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของ Volkswagen up! รถเล็กหน้าใหม่ที่กำลังจะวางตลาดในอีกไม่นานนี้

Volkswagen UP!

Volkswagen up ! นั้นเคยเผยโฉมครั้งแรกเมื่อปี 2007 ที่งาน Frankfurt auto show ก่อนที่จะเงียบๆหายกันไป แต่การเผยใบหน้าครั้งนี้ ตัวรถนั้นมาพร้อมรูปแบบรถ 3 ประตู พร้อมการออกแบบที่ล้ำสมัยหน้าสั้น ฐานล้อยาว ขนาด 2.42 เมตร ส่วนตัวรถยาว 3.54 เมตร กว้าง 1.64 เมตร และสูง 1.48 เมตร ที่มันคือ A-segment city car อย่างชัดเจน

เส้นสายรอบคันเน้นหนัการให้ความมีพลังกับรถมีพลวัตที่สอดคล้องหนึ่งเดียวตั้งแต่ใบหน้าจรดบั้นท้าย ให้บุคลิกออกแนวสปอร์ตเล็กๆคล้ายรุ่นพี่ ที่ยังดูทันสมัยขึ้นจรดบั้นท้าย ที่อาจจะดูเหมือนทรงกล่อง แต่ก็แปลกตาดีด้วยสไตล์ที่ไม่ซ้ำใคร

Volkswagen UP!

ในขณะที่ห้องโดยสาร Volkswagen up! เน้นหนักภายใต้การขับขี่ที่สนุกสนาน ดีไซน์ที่ดูใช้งานง่ายและสะอาดพร้อมนำหลัก สัจจะวัสดุตามสมัยนิยมมาผสมผสาน พร้อมจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์ต่างๆได้อย่างลงตัว มีระบบ Portable Infotainment Device (PID) ให้ได้สนุกสนานที่ยังมีระบบนำทางในตัว ทำงานง่ายด้วยชุดจอทัชสกรีน

ด้านสมรรถนะการขับขี่ด้วยความเป็นรถคนเมืองทำให้ Volkswagen ตั้งใจในความประหยัดที่ต้องการจะใส่เครื่องยนต์ทรงพลังและประหยัดน้ำมัน ที่เคาะแล้วลงตัวกับเครื่องยนต์ 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร มี 2 เวอร์ชั่นให้เลือก ระหว่าง 52 แรงม้า และถ้าขับสนุกหน่อยก็ 74 แรงม้า พร้อมเทคโนโลยี Blue motion ควบระบบ Start-Stop Technology เคลมอัตราประหยัดที่ 4.2 ลิตร / 100 กิโลเมตร หรือประมาณ 24 กิโลเมตรต่อลิตร ปล่อยไอเสียเพียง 100 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น

Volkswagen UP!

ไม่เพียงแค่เครื่องยนต์เบนซินทั่วไปเท่านั้นแต่ Volkswagen ยังมองถึงเครื่องยนต์พลังงานทางเลือกอย่าง Gas ที่พร้อมจัดจากโรงงานด้วยพละกำลังที่ไม่ด้อยกว่ารถเวอร์ชั่นน้ำมันพก 67 แรงม้า แต่ปล่อยไอเสียน้อยกว่า เพียง 86 กรัมต่อกิโลเมตร และยังเผยอีกว่าอาจจะมีเวอร์ชั่นไฟฟ้าตามออกมาในอีก 2 ปี ข้างหน้าด้วย

อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าสนใจใน Volkswagen UP! นั้น อยู่ที่เทคโนโลยี City Emergency Brake ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติ เมื่อขับไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อระบบเลเซอร์ตรวจพบความเสี่ยงในการชนจะทำการชะลอความเร็วรถเองเพื่อหลีกเลี่ยงการชน ซึ่ง Volkswagen UP! เป็นรถรุ่นเดียวในกลุ่มขณะนี้ที่มีเทคโนโลยีดังกล่าว

ทั้งนี้ Volkswagen วางแผนที่จะเริ่มวางจำหน่ายรถรุ่นดังกล่าวในช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ โดยมั่นใจว่ารถรุ่นนี้จะเป็นรถที่ทุกคนสามารถซื้อหาเป็นเจ้าของได้ ส่วนราคายังไม่มีการเปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ

Sanook! Auto Comment >> Volkswagen Up! ไม่ได้เกี่ยวกับการ์ตูนแอนิเมชั่นแน่ๆ แต่รถคันนี้เน้นการให้ความสนุกสนานและการขับขี่ที่มั่นใจได้ เน้นหนักชีวิตคนเมือง ที่รถติดถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบ้านเราอาจจะสนใจเวอร์ชั่นแก๊สธรรมชาติ ที่ถือเป็นหนึ่งเดียวจากค่ายรถยุโรป

MAZDA 2 ท้าพิสูจน์ความประหยัด กทม.-ภูเก็ต ถังเดียว ไปไกล 919 กิโลเมตร

ช่วงนี้กระแสความประหยัดที่มาแรงในกลุ่มรถซิตี้คาร์ที่ยังไม่นับน้องใหม่อย่าง Eco Car นั้นทำให้หลายคนเริ่มหันมาสนใจรถกลุ่มนี้มากขึ้น แต่คำถามหนึ่งที่สำคัญในเรื่องความประหยัดนั้น ก้คงไม่พ้นว่า หนึ่งถังจะไปได้ไกลกันสักเท่าไร

เมื่อไม่นานมานี้ Mazda ได้ทดลองท้าพิสูจน์ เติมจริงขับจริง โดยสื่อมวลชน ใน Mazda 2 ใหม่เพื่อค้นหาระยะการเดินทางที่ไกลที่สุด โดยกำหนดเส้นทางกรุงเทพมหานคร ปลายทางภูเก็ต พร้อมด้วย สื่อมวลชน 20 ชีวิต ร่วมด้วยช่วยกันเป็นสักขีพยานทางด้านความประหยัด โดยมีข้อกำหนดเดินทางไม่ต่ำกว่า 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และต้องใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 14 ชั่วโมงในการใช้น้ำมันในถัง 43 ลิตร เพื่อไปให้ถึงไข่มุกอันดามัน

Mazda 2 Eco test

ทีมสื่อมวลชนเริ่มล้อหมุนออกจาก โชว์รูมมาสด้า สตราดิวารี่ ย่านพระราม 2 ในช่วงเช้าเวลา 0.05 น. ใช้ถนนพระราม 2 เพชรษเกษม ปลายทางที่ภูเก็ต ที่ตลอดทางนั้นต้อนรับด้วยสายฝนที่กระหน่ำลมมาตลอดวัน เช่นเดียวกับการจราจรที่คับคั่ง ที่ยังมี คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากบัณฑิตวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์นานาชาติสิรินธร ไทย-เยอรมัน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เป็นผู้กำหนดกติกาเงื่อนไขและกฏเหล็กของการทดสอบ ผลปรากฏว่ารถยนต์มาสด้า2 ทุกคัน สามารถขับผ่านสะพานสารสิน ผ่านวงเวียนอนุสาวรีย์ท้าวเทพกษัตริย์ตรี ท้าวศรีสุนทร เข้าสู่จังหวัดภูเก็ต และสามารถทำสถิติใหม่น้ำมันถังเดียว (43 ลิตร) สามารถขับได้ไกลถึง 919 กิโลเมตร

สำหรับข้อกำหนดในการขับขี่ทดสอบประหยัดน้ำมัน ใน Mazda 2 นั้น นอกจากการใช้ความเร็ว เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วยังต้องปรับระบบปรับอากาศที่ ระดับ 3 ใน 4 และ ความแรงพัดลมเบอร์ 2 พร้อมวัดระดับแรงดันลมยางให้อยู่ในระดับปกติ ตามมาตรฐานในคู่มือรถ คู่หน้า32 PSI ด้านหลัง 29 PSI ทั้งยัง ห้ามพับกระจกมองข้าง และห้ามเปิดกระจกทุกบาน เดินทางโดยใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล 95 E10 ทุกคัน

การทดสอบในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งครั้งกับกิจกรรมเพื่อความ ซูม-ซูม อย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Zoom-Zoom ทั้งยังเป็นการร่วมส่งเสริมนโยบายของภาครัฐ รวมทั้งเป็นการร่วมอนุรักษ์พลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม

Mazda 2 Eco test

นายโชอิชิ ยูกิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การบันทึกประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ทางมาสด้าได้นำเอารถยนต์นั่งสปอร์ตซิตี้Mazda 2 ใหม่ รุ่นแฮตช์แบค 5 ประตู และรุ่นซีดาน 4 ประตู เครื่องยนต์ 1500 ซีซี ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 103 แรงม้า จำนวน 6 คัน เดินทางมุ่งลงทางภาคใต้ ซึ่งเป็นเส้นทางสัญจรปกติ ผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฏร์ธานี พังงา และสิ้นสุดที่จังหวัดภูเก็ต ด้วยการเติมน้ำมันเพียงครั้งเดียวเต็มถังในปริมาตรความจุ 43 ลิตร รวมระยะทาง 798 กิโลเมตรและคันที่ชนะเลิศสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลถึง 919 กิโลเมตร ที่สำคัญMazda 2 ทุกคันสามารถวิ่งถึงภูเก็ตด้วยน้ำมันเพียงถังเดียวและยังมีน้ำมันเหลือในอยู่ในถังอีกจำนวนหนึ่ง

Mazda 2 Eco test

นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า การบันทึกการขับประวัติศาสตร์ครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่มาสด้าต้องการสื่อสารกับลูกค้าในยุคดิจิตัล ผู้มีความคาดหวังสูงจากการเลือกซื้อสินค้ามาใช้สอย ต้องการสินค้าที่สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายได้ในเวลาเดียวกัน นอกจากสมรรถนะความแรงแล้วMazda 2 ยังสามารถพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นรถซิตี้คาร์ที่มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำ หรือเป็นรถประหยัดน้ำมันนั่นเอง

" แม้ว่าสภาพภูมิอากาศจะมีฝนและลมพายุกระหน่ำตลอดเส้นทาง รวมทั้งการจราจรที่หนาแน่น ซึ่งเป็นถนนที่ประชาชนทั่วไปใช้สัญจร รวมระยะเวลาที่เดินทางในครั้งนี้ประมาณ 14 ชั่วโมง ไม่รวมเวลาแวะพักระหว่างทาง Mazda 2 สามารถวิ่งด้วยน้ำมันเพียงถังเดียว 43 ลิตร ถึงภูเก็ตทุกคัน และที่สำคัญรถทุกคันยังสามารถวิ่งต่อไปได้อีกจนกว่าน้ำมันจะหมดถัง"

Mazda 2 Eco test

สรุปการทดสอบการประหยัดน้ำมันมาสด้า 2 เส้นทาง กรุงเทพ-ภูเก็ต

อันดับที่1 ระยะทางที่วิ่งได้ 919 กิโลเมตร

ระยะเวลาที่เดินทาง 13.078 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทาง 60.328 กม./ชม.

อันดับที่2 ระยะทางที่วิ่งได้ 905 กิโลเมตร

ระยะเวลาที่เดินทาง 12.162 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทาง 64.875 กม./ชม.

อันดับที่3 ระยะทางที่วิ่งได้ 879 กิโลเมตร

ระยะเวลาที่เดินทาง 13.090 ชั่วโมง ความเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทาง 60.274 กม./ชม.


แม้งานนี้เรียนตามตรงว่าเราไม่ได้ไปด้วย แต่จากการพูดคุยแบบออนไลน์จากทีมสังเกตการต้องบอกครับว่างานหินมาก เพราะ ฝนตกตลอดทาง ตั้งแต่ช่วงกลางทาง โดยเฉพาะกลางทางนี่ได้ข่าวว่าตกหนักมาก ซึ่งสภาวะอากาศก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ชี้ว่ามาสด้า 2 ยังมีดีที่ประหยัดเช่นเดียวกับสมรรถนะการขับขี่ที่วางใจได้

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม