มันแกว โดนแฉ ! รูปนัวเนียผู้ชาย พร้อมข้อความสยิว

มันแกว นมคุณธรรม ฉายาที่ตั้งมายิ่งทำให้โดนแฉหนัก ล่าสุดเพจแอนตี้มันแกว ก็โพสต์ภาพหลุด มันแกว กับชายหนุ่มแบบเกือบแนบชิด พร้อมแคปข้อความแชทเฟสบุ๊กพูดคุยแบบสยิวๆ กันอีก งานนี้ มันแกว เจอหนักจริงๆ ลองชมกันเลย ขอบคุณภาพจาก FB - www.facebook.com/munkaw.chaos, www.facebook.com/pages/Anti-munkaw


Pop Bing Bing Dance Cover น่ารักอ่ะ

http://aboutclip.blogspot.com/2014/01/pop-bing-bing-dance-cover.html

Toyota Vigo Champ Prerunner 3.0 สมรรถนะโดนประหยัดมากขึ้น

แกร่งและทน พร้อมบุกตะลุยจริงๆ สำหรับปิกอัพยอดนิยมอีกรุ่นหนึ่งของเมืองไทย Toyota Hilux Vigo Champ เพราะ ช่วงวิกฤตน้ำท่วม เหลือบเห็นวิ่งกันเกลื่อนถนน ทั้งรถของผู้บริโภคที่เพิ่งถอยออกมาได้ไม่นานและรถที่ทางค่ายโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ส่งมาช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมตามต่างจังหวัดและในกรุงเทพฯ

โดยเฉพาะรุ่นยกสูงขับเคลื่อนสองล้อ Toyota Hilux Vigo Champ Prerunner 3,0 ลิตร 4 ประตู ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ซึ่งทีมข่าวนำมาทดสอบ รูปร่างหน้าตาดูไฉไล ปรับระบบช่วงล่างใหม่ พร้อมเพิ่มความทันสมัย เติมความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร บนเส้นทาง (กทม.-พัทยา-กทม.) ระยะทางกว่า 300 กม.
Toyota Vigo Champ Prerunner 3.0
ขับสนุกและประหยัดขึ้น

โจทย์หลักในวัดสมรรถนะ Hilux Vigo Champ Prerunner รุ่นนี้ ทีมข่าวมุ่งพิสูจน์จุดเด่นของรถให้สอดคล้องกับสิ่งที่โตโยต้าเน้นย้ำเป็น พิเศษคือ "แรงควบประหยัดและความสะดวกสบายในการนั่งโดยสาร" ด้วยน้ำมัน 76 ลิตร (เต็มถัง)

โดยการขับใช้งานในพื้นที่กรุงเทพฯ กว่า 150 กม. และบนเส้นทางระหว่างจังหวัด (กทม.-พัทยา-กทม.) ระยะทางกว่า 300 กม.ขับขี่ภายใต้สภาพการจราจรจริง แต่ความเร็วไม่เกินกฎหมายกำหนด พร้อมทั้งขับใช้งานทั่วไปวิ่งจนไฟน้ำมันเตือน
Toyota Vigo Champ Prerunner 3.0
เครื่องยนต์ดีเซล 1KD -FTV ขนาด 3.0 ลิตร VN Turbo ให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 343 นิวตัน-เมตรที่ 1,400-3,200 รอบต่อนาที ต้องยอมรับว่า ยังเปี่ยมสมรรถนะเช่นเดิม ทั้งแรงและตอบสนองฉับไว แต่ที่พิเศษขึ้นคือ วิศวกรโตโยต้าได้พัฒนาใหม่ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น

การขับขี่ภายในกรุงเทพฯ แม้จะเป็นรถที่สูงใหญ่ แต่ก็ให้ความคล่องตัวดี โดยเฉพาะอุปกรณ์กล้องมองหลัง ที่ส่งสัญญาณภาพมายังจอมอนิเตอร์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความมั่นใจในการถอดจอด ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ยกว่า 11 กม.ต่อลิตร (ดูจากจอแสดงข้อมูลการขับขี่)

การขับขี่ระหว่างจังหวัด Hilux Vigo Champ Prerunner ยังให้ความฉับไวจัดจ้านเช่นเดิม สามารถเติมความเร็วและเรียกความแรงของกำลังออกมาใช้งานได้ตั้งแต่รอบต่ำ โดยเฉพาะระบบช่วงล่างจัดว่า นุ่มนวลคล้ายรถเก๋ง ถือว่าสมราคาคุย แต่หากขับขี่บนทางออนโรดด้วยความเร็วไม่เกิน 110 กม. โดยส่วนตัวชอบรุ่นเดิมมากกว่า เนื่องจากหากขับใส่โค้งแรงๆ หรือขึ้นคอสะพานสูงๆ จะออกอาการโยนตัวมากกว่า ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงยอมรับว่า ประหยัดขึ้น มาตรวัดจอแสดงข้อมูลขับขี่โชว์ตัวเลข 14กม.ต่อลิตร ด้วยความเร็วเฉลี่ย 110 กม. ซึ่งเป็นผลมาจากที่วิศวกรนำเอาระบบไดมอนต์ เทค มาติดตั้งในเครื่องยนต์

นอกจากนี้เพื่อเป็นการพิสูจน์ความประหยัดของรถมากขึ้น ทีมข่าวได้ขับทดสอบต่อ โดยวิ่งจนไฟน้ำมันเตือน ปรากฏว่า Hilux Vigo Champ Prerunner 3,0 ลิตร 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด วิ่งได้เกือบ 740 กม. วิ่งได้ไกลกว่ารุ่นก่อนกว่า 100 กม.

มาดเท่-ภายในแจ่ม ดีไซน์สไตล์รถเก๋ง

รูปลักษณ์ตัวรถมาพร้อมกระจังหน้า ไฟหน้า กันชนและไฟตัดหมอกใหม่ เรียกว่าไม่เหลือเค้าเดิม โดยไฟหน้าแบบฮาโลเจน มัลติรีเฟลกเตอร์ กันชนหน้าแบบ 3 มิติที่ด้านหน้าตัวรถ ฝากระโปรงมีเหลี่ยมสัน ด้านหลังเปลี่ยนไฟท้ายใหม่เสริมด้วยไฟเบรกดวงที่ 3 ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว และโป่งล้อดีไซน์มาใหม่
Toyota Vigo Champ Prerunner 3.0
ภายในห้องโดยสารถูกปรับแต่งและเปลี่ยนแปลงหลายจุด พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันควบคุมระบบเครื่องเสียงและเปิดดูข้อมูลที่จอแสดงผล ดิจิตอล มาตรวัดเรืองแสง เบาะนั่งเลื่อนเข้าออกปรับสูงต่ำได้ ระบบเครื่องเสียงใหม่มาพร้อมจอสัมผัสขนาด 6.1 นิ้ว เรียกว่าดีไซน์โดยรวมหรูหรา และถูกออกแบบใหม่เอื้อประโยชน์ต่อการขับขี่และนั่งโดยสารจริงๆ

สรุป

ด้วยสนนราคาค่าตัว 896,000 บาท กับความแรงที่มาพร้อมความประหยัด เปี่ยมสมรรถนะ และให้ความสะดวกสบายต่อการใช้งานได้อย่างอเนกประสงค์ ทั้งขับขี่เพื่อการใช้งานทั่วไป และขับเที่ยวในวันพิเศษ Hilux Vigo Champ Prerunner ให้ความลงตัวจริงๆ

 อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.ecareasy.com

Sanook! Motobike : Honda click 125i ..แรงเต็มบีท

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ถ้ามองตลาดรถยมอเตอร์ไซค์ในประเทศไทย รถระบบเกียร์อัตโนมัติ หรือที่เรียกสั้นๆว่า เอที(A.T.-Automatic Transmission) ดูจะเป็นรถที่ได้รับความนิยมไม่น้อยในหมู่วัยรุ่นและคนที่ต้องการ รถมอเตอร์ไซค์ที่ขับขี่สะดวกง่ายและคล่องตัวแถมท้ายด้วยการประหยัดน้ำมัน
                Honda นั้น ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางด้านนี้อยู่แล้ว และในปี 2012 นี้ Honda ก็เดินเกมปลุกปั่นตลาดดด้วยรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ ที่หนึ่งในนั้นคือรถ 2 ล้อ ยอดนิยม Honda Click i ที่กลับมาอีกครั้งกับสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิมพร้อมดีไซน์ที่โดนใจ
Honda click 125i .
                Honda Click 125 i เป็นอีกครั้งที่ Honda เสริมสมรรถนะเข้ามาในรถมอเตอร์ไซค์ด้วยการนำเสนอดีไซน์ใหม่หมดจดตั้งแต่ใบ หน้าให้ดูคมเข้มขึ้นกับ Sport Headlight ที่ทั้งดูโฉบเฉี่ยวและยังมีประสิทธิภาพในการส่องสว่างเพิ่มขึ้น พร้อมเต็มอารมณ์กับไฟท้ายใหม่ที่เฉียบคม และยังมีล้อซี่ลวดหรือล้อแม็กให้เลือกตามแต่ละรุ่นเหมือนเคย
                ตัวรถนั้นมาพร้อมหน้าปัดแบบ LCD ให้ความหรูหราทันสมัยกว่ารุ่นก่อนหน้า และยังสตาร์ทง่ายไม่ติดขัดด้วยสวิทช์สตาร์มือ และยังป้องกหันรถหายด้วยระบบ Shutter Key Plus ล็อคมั่น 2 ชั่น ส่วนใต้เบาะขยาย ช่องเก็บให้สามารถจุหมวกกันน็อกแบบเต็มใบได้ และยังมีเรื่องความปลอดภัยต่างๆ อาทิเครืองยนต์หยุดทำงานที่ข้างตั้ง ทั้งยังมีระบบล็อคล้อขณะจอดและ ระบบเบรกนิรภัยช่วยมั่นใจในการหยุดรถ
Honda click 125i .
                เรื่องสมรรถนะการขับขี่  Honda Click 125i ใหม่ ตอบสนองการขับขี่ด้วยการผสานหลากเทคโนโลยีชั้นนำเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยอีกขีดขั้นของสมรรถนะ eSP (Enhanced Smart Power) หัวใจสำคัญของความแรงยุคใหม่ ขุมพลัง เอ.ที.125 ซีซี ใหม่ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียด เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานทั้งระบบ
            การพัฒนาที่เริ่มตั้งแต่ภายในห้องเผาไหม้ ด้วยเทคโนโลยีลดแรงเสียดทาน พร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดชั้นนำ  PGM-FI มาพร้อมการระบายความร้อนเครื่องยนต์ด้วยน้ำ built-in Liquid cool ทำให้ Honda click 125i เปี่ยมด้วยยอดเทคโนโลยีชั้นนำ ที่ช่วยขับเคลื่อนให้ทั้งสมรรถนะและความประหยัด
            Honda Click 125 I ใหม่ พร้อมแล้วที่ให้คุณได้สัมผัสที่ศูนย์บริการ Honda Wing Center ทั่วประเทศ โดยมีราคาเริ่มต้น 46,800 บาท พร้อม 3 รุ่นให้เลือก คือ  Honda Click 125i Forward, Honda Click 125i Street และ Honda Click 125i Tune up

“ฟอร์ด เรนเจอร์ โฉมใหม่” ขับหนึบ-สุดอลังการ

   ละทิ้ง ความเล็กโบราณไว้เบื้องหลัง กับโครงสร้างเดิมที่ลุยตลาดมานานกว่า 13 ปี (เปิดตัวครั้งแรก 24 กรกฎาคม 2541) แต่จากนี้ไป “ปิกอัพสายพันธุ์แกร่ง” ซึ่งเป็นผลผลิตจากโครงการพัฒนา T6 เตรียมออกมาโลดแล่น โชว์สุดยอดสมรรถนะพร้อมความสมบุกสมบัน บนการใช้งานอันหลากหลาย
      
       สำหรับ “เรนเจอร์ โฉมใหม่” ใน โครงการปิกอัพขนาดคอมแพกต์ระดับโลกของฟอร์ด ถูกพัฒนาขึ้นที่ประเทศออสเตรเลีย (ร่วมมือกับมาสด้า) แต่จะใช้ ไทย อาร์เจนตินา และแอฟริกาใต้ เป็นฐานการผลิตหลัก เพื่อส่งไปขายรวม 180 ประเทศทั่วโลก
       การทำตลาดในประเทศไทยจะมากับ 3ตัวถังพิมพ์นิยม คือ แบบตอนเดียว (ซิงเกิลแค็บ) แค็บเปิดได้ (โอเพนแค็บ) และสี่ประตู (ดับเบิลแค็บ) วาง 3 ทางเลือกเครื่องยนต์คือ ดีเซล 4 สูบ2.2 ลิตร 150 แรงม้า และดีเซล 5 สูบ 3.2 ลิตร 200 แรงม้า และชัดเจนเพื่อคนรักแก็สกับเบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร 166 แรงม้า พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ และสองล้อ ขณะเดียวกัน ฟอร์ดจะทำรุ่นไวด์แทร็ก ที่มาพร้อมชุดแต่งรอบคันเป็นตัวขายมาตรฐาน (ไม่ใช่รุ่นพิเศษเหมือนโฉมเก่า)
      
       โดยรุ่นเครื่องยนต์ดีเซลจะส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และอัตโนมัติ 6 สปีด ส่วนรุ่นเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 จะประกบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด
      
       ขณะที่ตัวถังยาวใหญ่ สง่างามกว่าเดิม หรือเป็นการออกแบบที่ฟอร์ดเรียกว่า “ความแข็งแกร่งแห่งศตวรรษที่ 21” ไล่ตั้งแต่กระจังหน้าลาย 3 แถบ โคมไฟหน้า กันชน ขณะที่กระจกบังลมหน้าทำมุมเอียงไปด้านหลังมากขึ้นสอดรับกับหลักอากาศ พลศาสตร์ ซึ่งฟอร์ดเคลมว่าเรนเจอร์ ใหม่ มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน (Cd) เพียง 0.399หรือต่ำที่สุดในตลาดปิกอัพตอนนี้
      
       รูปลักษณ์ที่ดูบึกบึนยังอเนกประสงค์ กว่าเดิม ด้วยการยกขอบกระบะให้สูงขึ้น ส่งผลให้ตัวถังซิงเกิลแค็บ และโอเพนแค็บ มีขนาดบรรทุกของด้านหลังใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับปิกอัพระดับเดียวกันที่ 1.82 ลูกบาศก์เมตร และ 1.45 ลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ ส่วนรุ่นดับเบิลแค็บจะเหลือแค่ 1.21 ลูกบาศก์เมตร
      
       ภายในทันสมัยและพยายามใส่อารมณ์รถยนต์นั่งเข้าไป สังเกตจากแผงควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มแอร์ บริเวณคอนโซลกลาง และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน พร้อมช่องต่อ AUX ทั้งนี้ ในรุ่นท็อปยังมากับออปชันอย่าง ช่องต่อ USB ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ ระบบควบคุมการสั่งการด้วยเสียง(โทรศัพท์ แอร์ เครื่องเสียง) กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ รวมถึงครูสคอนโทรล และกล้องมองภาพด้านหลังสะท้อนภาพหน้าออกมาหน้าจอขนาด 4.2 นิ้ว
      
       ด้านระบบความปลอดภัยที่ฟอร์ดชอบนำออปชันใหม่ๆมาใช้เป็นเจ้าแรกๆ เสมอ (อย่างเบรกABS และถุงลมนิรภัยในปิกอัพ) ซึ่งเรนเจอร์ ใหม่ไม่ทำให้เสียประวัติศาสตร์ เพราะในตัวท็อป (เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ดับเบิลแค็บ ไวด์แทร็ก) จะจัดเต็มด้วยถุงลมนิรภัยรวม 8 จุด ทั้งคู่หน้า ด้านข้าง ม่านนิรภัย (ครอบคลุมโครงสร้างตัวถังและส่วนที่เป็นกระจก ตั้งแต่ เสาเอ-พิลลาร์ ไปจนถึง เสาซี-พิลลาร์)
       ตามด้วยระบบอิเลกทรอนิกส์ ไล่ตั้งแต่ ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวแบบอิเล็กทรอนิกส์ (ESP) ระบบ Hill Descent Control (ในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ) ช่วยควบคุมการขับลงทางลาดชัน ระบบ Hill Launch Assist ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบ Adaptive Load Control รักษาเสถียรภาพของรถในขณะที่บรรทุกของหนัก ระบบ Roll-over Mitigation ช่วยป้องกันการพลิกคว่ำ ระบบTraction Control ป้องกันล้อหมุนฟรี และ Emergency Brake Assist เพิ่มแรงเบรกฉุกเฉิน
      
       ด้วยระบบทั้งหลายบวกกับโครงสร้างอันแข็งแกร่ง ส่งผลให้ฟอร์ดเป็นปิกอัพนิรภัยขับขี่มั่นใจได้สุดๆ คันหนึ่ง ขณะเดียวกัน การได้รับมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวเต็ม จาก EuroNcap น่าจะช่วยยืนยันคุณภาพได้เป็นอย่างดี
      
       ส่วนความรู้สึกการขับขี่ที่ผู้เขียนมีโอกาสได้ลองตัวถังดับเบิลแค็บ ขับเคลื่อนสองล้อยกสูงหรือ ไฮ-ไรเดอร์วางเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 2.2 ลิตร เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิด 375 นิวตันเมตรที่ 1,500-2,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (ราคา 7.99 แสนบาท)
      
       ...จากตัวเลขประสิทธิผลต่างๆ แสดงถึงทิศทางในการลดขนาดเครื่องยนต์ เพื่อลดการปล่อยมลพิษ และหวังตัวเลขประหยัดน้ำมันที่ดีขึ้น หรือถ้าต้องการความแรงก็เป็นหน้าที่ของเทอร์โบชาร์จในการรีดกำลัง ตลอดจนการพัฒนาเกียร์เพื่อบริหารจัดการม้าให้ลงสู่พื้นอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกำหนดอัตราทดอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความมุ่งหวังในใช้งานแล้วแต่รุ่น
      
       อย่างคันที่ได้ลองขับเป็นเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.2 ลิตร แต่ให้แรงบิดถึง 375 นิวตันเมตร เรียกว่าใกล้เคียงกับขนาด 3.0 ลิตรเดิม 380 นิวตันเมตร (ซึ่งเป็นเครื่องมาสด้า) ขณะเดียวกันแรงบิดสูงสุดยังมาในรอบต่ำ 1,500-2,500 รอบเท่านั้น
      
       อย่างไรก็ตาม ด้วยตัวถังมโหฬารและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม แม้จังหวะออกตัวไม่ได้อืดอาด แต่การขับรวมๆบุคลิกไม่ได้แรงพลุ่งพล่านมากมาย ซึ่งพลังจะมาแบบต่อเนื่องสมเหตุสมผล ส่วนเกียร์ 6 สปีดทำงานว่องไว บางจังหวะที่ต้องการความกระฉับกระเฉงเพื่อเร่งแซงกะทันหัน อาจต้องกดคันเร่งให้ลึกหน่อยเพื่อหวังการคิกด์ดาวน์
      
       ทั้งนี้ ข้อดีของเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดน่าจะช่วยให้รถประหยัดน้ำมันพอสมควร ยิ่งขับทางไกลใช้ความเร็ว 120 กม./ชม. ที่เกียร์สูงสุด ผู้เขียนสังเกตรอบอยู่ประมาณ 2,000 รอบเท่านั้น
       ด้านพวงมาลัยที่เปลี่ยนมาใช้แบบแรคแอนด์พิเนียนแทนที่บอลแอนด์นัท ทำให้การขับดีกว่ารุ่นเดิมเยอะ โดยน้ำหนักอาจจะเบาไปสักนิดแต่การสั่งงานซ้ายขวาแม่นยำ ที่สำคัญแม้ตัวรถจะใหญ่โต แต่ฟอร์ดก็ทดพวงมาลัยให้ควบคุมคล่องมือไม่ต้องเอี้ยวเลี้ยวให้มากรอบจนเกิน ไป ขณะที่รัศมีวงเลี้ยวแคบสุดในรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ 11.8 เมตร และ 12.4 เมตร สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ
      
       การขับทางไกลภายในห้องโดยสารเก็บเสียงดี แรงสั่นอาการสะเทือนและเสียงของเครื่องยนต์ ถือว่าฟอร์ดจัดการได้เยี่ยม ส่วนโครงสร้างเบาะนั่งรองรับแผ่นหลังดี และหลังจากลงจากรถมาแล้วไม่รู้สึกเมื่อยตัวปวดตับ
      
       ในส่วนช่วงล่างบนพื้นฐานแชสซีส์ใหม่ ใหญ่และแกร่งกว่าเดิม ด้านหน้าเป็นปีกนกสองชั้น พร้อมคอยล์ปริง หลังเป็นแหนบแผ่นซ้อนที่เซ็ทมาหนึบแน่น การขับรวมๆทรงตัวยอดเยี่ยมเกาะถนนเป็นเลิศ จังหวะเข้าโค้งหนักๆ ยังควบคุมพวงมาลัยได้มั่นใจ ตัวรถไม่มีดิ้นไม่มีหลุด
       การนั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังของตัวถังดับเบิลแค็บนั้น อาจรับรู้ถึงแรงสะเทือนจากพื้นถนนพอสมควร แต่ก็ไม่กระด้างดิบเหมือน “เรนเจอร์ ไฮ-ไรเดอร์” รุ่นเก่า ส่วนพื้นที่นั้นกว้างขวางนั่งสบายไม่แพ้ “โตโยต้า วีโก้” และ “มิตซูบิชิ ไทรทัน”
      
       สำหรับใครที่ซื้อ “เรนเจอร์ โฉมใหม่” จะได้รับของแถมเป็นถังน้ำมันขนาดใหญ่พิเศษ 80 ลิตร ซึ่งฟอร์ดมั่นใจว่ารุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร จะวิ่งได้ระยะทางไกลกว่า 1,000 กิโลเมตรแน่นอน หรือเคลมอัตราบริโภคน้ำมันเฉลี่ยไว้ 13.7 กิโลเมตรต่อลิตร
      
       รวบรัดตัดความ...ถ้า ไม่ต้องการลุย หรือหวังแรงเพื่อใช้งานหนัก รุ่นดีเซล 2.2 ลิตรขับเคลื่อนสองล้อน่าจะเพียงพอ กับรูปทรงใหญ่สุดเท่ ขับดี ช่วงล่างหนึบ บนราคาเหมาะสม ยิ่งตัวถังดับเบิลแค็บจะเสียภาษีประจำปีถูกลงเยอะ (เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ขนาด 3.0 และ 3.2 ลิตร)
      
       ฟอร์ด เรนเจอร์ พร้อมเปิดประสบการณ์การขับขี่ให้นักเลงปิกอัพ แต่จะด้วยปัญหาการผลิตหรือแผนการตลาดทำให้รุ่นเครื่องยนต์ 3.2 ลิตร ยังไม่มีรถส่งมอบและต้องรอถึงเดือนเมษายน ส่วนตัวท็อป 3.2 ดับเบิลแค็บ ขับเคลื่อนสี่ล้อ ไวด์แทร็ก ราคาทะลุ 1 ล้านบาทแน่นอน...
      
      
      
      
      
      
      
      
      
      

Chevrolet Corolado 2.5 M/T 4 WD LT ..พันธ์แกร่งรุ่นเล็กที่เร้าใจในสมรรถนะ

เปิดตัวมาตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว ภายใต้คำนิยามที่สั้น และเรียบง่าย " กระบะจากประสบการณ์ 100ปี" ทำให้ค่ายรถยนต์ Chevrolet กลับมาเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก ด้วยการแนะนำ New! Chevrolet Colorado ใหม่ ที่เปิดจองและจำหน่ายจริงแล้วทั่วประเทศ
โครงการกระบะใหม่ของ Chevrolet นั้น เป็นที่รู้จักกันในนาม GM700I และหลังจากที่เราได้ไปสัมผัสในการทดสอบในรูปแบบคาราวานแล้ว มาวันนี้เราก็ได้รับเกียรติอีกครั้งจาก Chevrolet ในการใกล้ชิด "น้องโด้" Chevrolet Colorado ที่นี่คือครั้งแรกของการขับเคลื่อนที่จะได้สัมผัสขุมพลัง Duramax 2.5 ลิตร
ช่วงบ่ายวันพฤหัสการจมกองงานอาจจะไม่เท่าอะไรที่ติ่นต้นไปกว่า การรับรถทดสอบมาขับ ที่เราแวะไปยัง Chevrolet ในยามเย็น เรียกว่าไปกวนใจหลังเลิกงานแต่ไม่วายไปเจอ รุ่นพี่วงการยานยนต์อย่าง คุณพี่จิมมี่แห่ง headlightmag.com
Chevrolet Corolado 2.5 M/T 4 WD LT
บทสนทนาที่เริ่มด้วยสารทุกข์สุขดิบจบลงด้วยเรื่องรถ ตามภาษาของคนชอบรถเหมือนกัน ที่พี่จิมมมี่ บอกว่า "เฮ้ย ยืม Chevrolet นี่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม เพราะนี่มันรถปิคอัพเชิญแขก ชัดๆ" ตัวเราก็งงว่ายังไง พี่ท่านก็พลางนำหลักฐานมาให้ชมกับ แขกที่มาดูในความแปลกใหม่ของรถกระบจากประสบการณ์ 100 ปี ก่อนที่พี่พีอาร์จะรีบแจกกุญแจ Chevrolet Colorado 2.5 ขับเคลื่อน 4 ล้อ มาให้ เพราะคงเกรงว่า ถ้าปล่อยให้นั่งคุยกันต่อไปคงจะไม่ต้องไปทดสอบกันพอดี หรือไม่คงจะกลัวเมาท์กันยาว

ภายนอกดุดัน บิ๊กไซส์สไตล์อเมริกัน

เราออกจากออฟฟิศเชฟวี่ ลงมากับคุณพี่จิมมี่ก่อนจะแยกทางกันที่ลานจอดรถ โดยพาหนะของเราวันนี้เป็น Chevrolet Corolado 2.5 เกียร์ธรรมดา พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือที่หลายคนเรียกว่ารุ่นโฟร์วีล นั่นแหละ
เรือนร่างที่ทักทายเราด้วยความใหญ่โตมโหราฬ พอดีขนาดช่องชอดรถในอาคารรสา แย้มปริมาด้วยกระจังหน้า Dual Port สไตล์ที่มีเอกลักษณ์ของรถยนต์ Chevrolet รุ่นใหม่ๆ ทักทายพร้อมไฟหน้าแบบดุดันสปอร์ต ที่มันทำให้เราระลึกถึงรถกระบะอเมริกันแท้ โดยตอนที่หุบกระจกนั้น ตัวรถจะมีความกว้าง1,882 ม.ม. และเมื่อเปิดกระจกออกจะยาว2,132 ม.ม ถือเป็นขนาดที่ค่อนข้างบิ๊กกับถนนเมืองไทยเช่นกัน ส่วนของไฟท้ายนั้นเป็นหลอดธรรมดานั้นไม่ได้มีความแตกต่างอะไรมากมายนัก ลงตัวด้วยล้อขอบ 16 นิ้ว รัดมาพร้อมยาง Bridgestone Dueler 245/70/R16
Chevrolet Corolado 2.5 M/T 4 WD LT
เดินวนรอบรถคันนี้เป็นรุ่น LT ซึ่งหมายถึงไม่ใช่รุ่นที่มีออพชั่นเต็มจากโรงงาน แต่เปิดโบว์ชัวร์ที่ให้มาด้วยพร้อมกันนั้นดูเหมือนจะเป็นพี่เบิ้มสุดในรุ่น 2.5 ลิตร และเป็นรุ่นเดียวของกลุ่มที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พลิกดูราคาขายอยู่ที่ 7.3 แสนบาทเป็นค่าตัว
ความยาว5,347 ม.ม. ทำให้เราค่อนเป็นห่วงเรื่องการขับขี่ในที่แคบและเมื่อเปิดดูโบว์ชัวร์ มันมีวงเลี้ยวแคบสุดที่ 6.3 เมตร ที่ต้องถือว่าเอาเรื่อ งและน้องโด้คันนี้มาแบบไม่เติมแต่งไม่มีแม้แต่บันได ทำให้การก้าวขึ้นรถที่สูงจากพื้นเกือบ 2 นิ้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ภายในทันสมัย ดูดีแบบกระบะ

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานต้องยอมรับว่ารถกระบะมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายด้าน มากมายยิ่งการตบแต่งภายในที่ดูเหมือนว่า รถกระบะจะจัดเอาความสะดวหสบายของรถเก๋งเข้ามา และ Chevrolet ก็เอาแนวคิดเดียวกันนี้มาใช้ด้วยเการนำเอาเส้นสายการออกแบบภายใน Dual Cockpit มาใส่ ทำให้ Colorado มีลุคเป็นแบบเก๋งขึ้นทันตา ตั้งแต่ที่เราเปิดประตูขึ้นมาเจ้าน้องโด้ก็ต้อนรับด้วยการตบแต่งสีโทนเทาดำ
Chevrolet Corolado 2.5 M/T 4 WD LT
ในรุ่นนี้เบาะนั่งมีลวดลายที่เน้นให้ความสปอร์ตอย่างชัดเจน เมื่อปรับท่านั่งตามที่ควรจะต้องเป็นแล้วบิดกุญแจเตรียมสตาร์ท ไฟเรืองแสงโทนฟ้า ช่วยส่องสว่างในระหว่างการขับขี่ โดยมาตรวัดนั้นบ่งบอกถึงการเน้นความสปอร์ตได้แรงบันดาลใจจาก Chevrolet Camaro ตรงกลางมี Trip Computer สามารถเปลี่ยนให้บอกค่าต่างๆ ได้มากมายตามต้องการ โดยเฉพาะที่มีประโยชน์ในการขับขี่ให้ประหยัด คือเรื่องของค่าเฉลี่ยการสิ้นเปลืองน้ำมัน
Flex Cab ก็นับเป็นอีกหนึงสิ่งที่ทำให้ Chevrolet Colorado มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการเพิ่มพื้นที่ใช้สอย ใช้ง่ายและสะดวกสบายไม่วุ่นวายเปิดได้ทั้งคนนั่งหน้าหรือจะอยู่ด้านหลัง และพื้นที่ตรงนี้ สามารถใช้ได้ทั้งนั่งชั่วคราวและ บรรทุกสัมภาระตามต้องการ แต่จริงๆมันน่าจะเหมาะบรรทุกสัมภาระมากกว่า

ทั้งหมด 3 หน้า : 1 | 2 | 3  >
อินไซด์วงการยานยนต์ก่อนใคร ผ่านทาง Facebook

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม