Sanook! Drive : New! Chevrolet Captiva Diesel LTZ ครบเครื่องหรู เปี่ยมด้วยสมรรถนะ

....เสียงริงโทนธรรมดาๆ ของโทรศัพท์ Nokia ของผมกลับกลายเป็นเรื่องๆไม่ธรรมดาๆ ในช่วงบ่ายๆ ไม่สิ เย็นของวันศุกร์ก่อน เทศกาลหยุด 3 วัน เนื่องในวันรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ความจริงแล้วก็เป็นความบังเอิญ เพราะปกติที่อยู่ในออฟฟิศนั้นจะๆไม่เปิดเสีย งแต่เมื่อหันไปมองโทรศัพท์ พลันเห็น 1 มิสคอลเปิดเบอร์แล้วโทรกลับกลายเป็นงานที่ต้องหอบมาให้ทำช่วงวันหยุดยาว

เสียงของพี่พีอาร์สาวจากค่าย Chevrolet สาธยายว่า จะเลือกอะไรดี ระหว่างหนึ่งกระบะใหม่ล่าสุด หรือจะเลือกรถครอบครัวดีเซล โฉมใหม่ไปลองขับดู แต่แม้ทั้ง 2 รุ่นจะยากที่จะตัดสินใจ แต่ในวันหยุดยาวแบบนี้ขับรถกินลมชมวิวชายทะเล เห็นทีต้องเป็นรถอเนกประสงค์ ที่ครั้งนี้กลับมาตามคำเรียกร้องกับเครื่องยนต์ดีเซล

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

ภายนอกปราดเปรียว ให้เสน่ห์ที่ลงตัว

ถ้ายังจำกันได้ในช่วงเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมานั้นพวกเราได้มีโอกาสสัมผัส New! Chevrolet Captiva รุ่นใหม่ที่ให้ความน่าสนใจผ่านการนำเสนอรูปโฉมใหม่ที่อัพเดทให้ทันสมัย และแม้จะต้องพูดกันอย่างเป็นกลางว่านี่คือรุ่น minor changed หรือปรับโฉมให้ดูหล่อขึ้น แต่มันก็ได้ใจเราไปเต็มๆกับความหล่อเหลาที่ถูกใจทั้งคนมีครอบครัวที่อาจต้อง การความสปอร์ต ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมความหรูหรา ที่ใส่มาให้อย่างลงตัวไปพร้อมกันด้วย

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

ในรุ่นดีเซลนี้ต้องเรียกว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ทุกอย่างก็ไม่ได้ต่างอะไรจากรุ่นเบนซินที่มีโอกาสได้ขับไปแล้วก่อนหน้าตอน group Test ภายนอกนั้นปรับลุคใหม่หมดจดตั้งแต่หัวจรดท้าย พูดได้เต็มปากว่า มันเป็นความสดใหม่ของ Chevrolet ที่พยายามจะนำเสนอตัวตนแบบใหม่ ที่เริ่มต้นด้วยกระจังหน้าแบบ Dual Port เสริมภาพลักษณ์ความสะดวกสบาย ด้วยเสน่ห์ใหม่ที่ให้ความสปอร์ตชัดเจนมายิ่งขึ้น ไฟหน้าที่เล็กลงแต่โค้งมลนั้น ให้ความลงตัวทางด้านเส้นสายการออกแบบ ส่วนในรุ่นที่เราได้มาขับครั้งนี้ เป็นรุ่น LTZ หรือท็อปสุด ทำให้ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้วมาประจำการลงตัว ส่วนบั้นท้ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้น แต่ดูเหมือนจากการวิจารณ์ในครั้งที่แล้ว Chevrolet ก็ดูจะมีอะไรใหม่ขึ้นมาโดยเฉพาะเรื่องการปกปิดยางอะไหล่ที่เราเคยสอยไปก่อน หน้าก็ดูโอเคขึ้น

หรูสบาย ทันสมัยในออพชั่น

เดินวนรอบรถพอเป็นพิธีในที่สุดก็ได้เวลาเคลื่อนตัวออกจากลานจอดอาคารระสา โดยมีพี่ยามและพีอาร์สาวมายืนโบกมือกวักไวๆ คล้ายเราจะเอารถเขาไปแรลลี่ แต่ทันทีที่เข้ามาสัมผัสในห้องโดยสารนั้น ความสบายคอยต้อนรับเราอยู่ ตั้งแต่เบาะนั่งฝั่งคนขับที่เป็นไฟฟ้า ให้สามารถปรับสูง-ต่ำ เอนขึ้นลง เลื่อนเดินหน้า-ถอยหลัง สามารถทำได้อย่างครบครัน และเมื่อกวาดตาไปรอบๆ ทั้งในเรื่องเครื่องเสียง และระบบปรับอากาศ ทุกอย่างมาหยุดอยู่ที่กลางคอนโซลหน้า เหนือขึ้นมานั้นเป็นจอนำทางถ้าต้องการและยังเป็นจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ด้วย

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

เมื่อเลื่อนรถออกมาสู่แสง ก็ได้พบการตบแต่งที่แท้จริงของ Chevrolet Captiva ที่ครั้งนี้กลับมาในความสปอร์ตตัดด้วยโครเมี่ยมที่ดูลงตัวในความหรูหรากับ ลายเคฟล่าร์ที่น่าถูกใจพ่อ/แม่บ้านคอสปอร์ต แต่ถ้าใครชอบหรูอาจจะรู้สึกเฉยๆหรือไม่ก็อาจจะอยากจะหาเปลี่ยนเป็นลายไม้ มากกว่า ซึ่งก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล แต่การนำเสนอของ Chevrolet นั้นดูท่าต้องการให้มีความสปอร์ตที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เมื่อมองกระจกหลัง กระจกแบบตัดแสงอัตโนมัตินับเป็นอะไรที่ค่อนข้างถูกใจ ในขณะที่เราเริ่มมือซนระหว่างรถติด ธรรมชาติของถ.พหลโยธินั้น เราก็พบว่า Chevrolet Captiva ใหม่นั้นมีช่องอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ที่ให้ความลงตัวในการใช้งาน มีทุกซอกมุม ในขณะที่ช่องเก็บของลับก็เยอะแยะ แถมกว้างขวางจนน่าจะถูกใจ ใครที่ชอบซุกของไว้ในรถ

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

กระจกหลังที่สะท้อนไปนั้น ทำให้เราเห็นเบาะตอนหลัง ที่พลันหันไปมองในความกว้าง ที่สามารถจุผู้โดยสารได้อีก 3 คน ขนไปเป็นแก๊งค์ได้อย่างสบายไม่มีปัญหา แถมนั่งสบายด้วยพื้นที่โดยสารแบบเรียบขึ้นลงสะดวกไม่มีโพรงเกียร์มาวุ่นวาย และยังสามารถ + 2 คนได้หากต้องการ ด้วยการยกพับขึ้น จากประตูหลัง ใช้งานง่ายและสะดวก เข้าใจไม่ยาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าจะศูนย์เสียพื้นที่เก็บสัมภาระไป แต่คงไม่บ่อยที่จะนั่งกันเต็มอัตราขนาดนั้น ส่วนการขึ้นลงของเบาะตอนสุดท้ายนั้นก็ต้องโยกจากเบาะแถวที่ 2 ที่จะม้วนลังกาหน้าเปิดที่ให้ผู้โดยสารตอนหลังลงมายืดเส้นยืดสาย

เรื่องอำนาจการบรรทุกสัมภาระก็ให้ความสะดวกสบายด้วยห้องสัมภาระตอนท้าย ขนาดใหญ่ ที่เปิดยัดของต่างได้ตามต้องการ และอำนวยความสะดวกตั้งแต่การเปิดประตู ด้วย ฟังชั่นเปิดบานกระจกเพียงอย่างเดียวได้ทั้งจากตัวรถหรือตัวกุญแจรีโมท และเมื่อเปิดประตูท้าย ก็พร้อมต้อนรับคุณเข้าสู่ห้องสัมภาระ ที่แม้จะดูแล้วมันใหญ่พอจะจุได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าคุณมีของยาวๆ อย่างจักรยาน และเดินทางไปเพียง 2 คน ก็สามารถพับเบาะตอนหลังได้อีก โดยสามารถแยกพับในอัตรา 40:60

ในเมืองขับสบาย คล่องตัวทุกเส้นทาง

เมื่อเริ่มต้นการเดินทางกับ Chevrolet Captiva diesel สิ่งแรกที่เราต้องเผชิญนั้นเป็นโหมดการขับขี่ในเมือง ที่ถือว่าเป็นเรื่องยากต่อรถอเนกประสงค์ที่มีน้ำหนักตัว 1.725 ตัน โดยประมาณแม้ครั้งนี้ มันจะถูกตอบเรื่องสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 2.0 ลิตร VCDi พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ก็ตามที

การเบียดเสียยัดเยียดกับผู้คนในเมืองนั้น เป็นเรื่องที่น่าเบื่อในการขับรถและการจอดอยู่นิ่งก็คงไม่ใช่อะไรที่น่าสนุก นักในการทดสอบ แต่ก็ต้องยอมรับว่าค่ำคืนวันศุกร์แห่งชาติก่อนหยุดยาว 3 วันไม่ใช่เรื่องง่ายในการฝ่าวิกฤติจราจรไปยังสำนักงาน Sanook! และในระหว่างที่กระดื๊บๆ นี้ก็มีโอกาสลอง ระบบเสียงเซอร์ราวด์ 3 มิติ ของเล่นไม้เด็ดของ New! Chevrolet Captiva

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

ไร้แผ่นซีดีในเครื่องเสียง ทำให้บนถนนยามนี้เราต้องหาดีเจคู่ใจในการรับฟังวิทยุ แต่แม้จะเป็นการฟังวิทยุ ระบบ 3 มิติ ก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในการทำให้เสียงต่างๆ ขับออกสู่ลำโพงในห้องโดยสารอย่างเป็นระบบ ช่วยสร้างมิติที่สมจริงมากยิ่งขึ้น ให้อรรถรสในการฟังเพลงดีขึ้นกว่าเครื่องเสียงธรรมดาถึงจะไม่สมบูรณ์แบบในแบบ กระหึ่มเสียทีเดียว มันก็พอตอบสนองการใช้งานได้ถ้าไม่ได้อะไรมากกับเรื่องเครื่องเสียง

ความโดดเด่นในระบบเสียงนั้น ทำให้เราเกิดอารมณ์ขับรถชิว ในค่ำคืนวันศุกร์ที่ได้ข่าวเรื่องการประดับไฟวันสุดท้ายที่ราชดำเนิน ที่อาจจะมีทุกปี แต่การไปในยามค่ำคืนนี้ควงกับ Chevrolet Captiva จะให้อารมณ์ที่แตกต่างไป

การขับรถในเมืองกับ Captiva อาจะเป็นเรื่องที่น่ากังวลในขนาดของรถที่ดูไม่น่าจะคล่องตัวลัดเลาะตามเส้น ทางต่างๆ โดยเฉพาะที่แคบๆ ในการจราจรที่เบียดเสียดยัดเยียดของกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อกลับขึ้นมาขับอีกครั้งหลังวันทำงานที่แสนเหนื่อย ความสบายและหรูของมันบวกความบันเทิงก็ทำให้ผู้ขับขี่นั้นรู้สึกสบายตามไป ด้วย อาจจะเรียกว่านี่เป็นรถที่ทำให้คนขับอารมณ์ดีก็ไม่ผิดนัก

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

เมื่อสตาร์ทเครื่องอีกครั้งที่เราฟังเสียงการทำงานของขุมพลังดีเซลจากใน ห้องโดยสารที่มันเก็บเสียงได้ดีมาก ซึ่งในรอบเครื่องเดินเบา ที่เข็มชี้ 800 รอบต่อนาที แทบจะไม่มีอะไรนอกจากตัววัดรอบที่คอยบ่งชี้การทำงานของเครื่องยนต์ ก่อนแตะเบรคเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์จาก P ไป D เพื่อท่องราตรีและคืนนี้ยังอีกยาวไกล

เป้าหมายแรกราชดำเนินนั้น ในค่ำคืนวันศุกร์นี้กลายเป็นเหมือนการนัดรวมตัวของรถยนต์ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ หลังน้ำท่วม ที่พาเราแทบคลั่ง ด้วยรถยนต์ที่พรั่งพรูออกมาจนมาต่างติดกันตั้งแต่ถนนศรีอยุธยา ต่อเนื่องยันราชดำเนิน เรียกว่า ฟังเพลงจบไปเป็นอัลบั้มแล้วยังไปไม่ถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งมันก็คือบททดสอบสุดหินของ Chevrolet captiva ใหม่ ด้วย

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

สิ่งหนึ่งที่มันมักมาคู่กับเรื่องของรถติดนั้นก็ไม่พ้นการซดน้ำมัน ซึ่งการจอดรถเดินเบาเครื่องยนต์ไว้เฉยๆ นั้นกลับทำให้มีการกินน้ำมันมากกว่าปกติ และ จากน้ำมันเต็มถังตั้งแต่ออกจาก Chevrolet มาจนถึงตอนนี้เราเพิ่งใช้ไป 1ขีดเล็กเท่านั้น แต่มันก็ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะรถยังติดอยู่เหมือนเดิม เวลาที่นานกว่าชั่วโมงโดยไม่ขยับไปไหน เราจึงตัดสินใจเลี่ยงไปทางเทเวศน์ แต่สรุปสุดท้าย ก็ติดเหมือนกัน สรุปกระดึ๊บต่อบนถนนเรื่อยๆ กว่าจะได้แสงสีก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน จากที่ออกจากออฟฟิศช่วง 3 ทุ่ม แม้จะพยายามลองมุดดูบ้าง แทรกตัวไปกับกระแสการจราจรที่ติดขัดแต่สุดท้าย ก็ไม่ได้ช่วยมากนัก แต่เจ้า Captiva นั้น ก็คล่องตัวในแบบที่รถเก๋งให้ได้ ก่อนสรุปปิดจ๊อบวันแรกด้วยน้ำมันที่เหลือกว่าครึ่งขีดล็อกแรกของน้ำมันเต็ม ถัง 65 ลิตร จากรถที่ติดสาหัสสากัน โดยทั้งหมดนั้นขับโดยไม่ได้ใช้ Eco mode

ขับนอกเมืองได้เวลาเดินทางไกล

น้ำมันที่เหลือจากคืนวันศุกร์นั้น ทำให้เราต้องไปต่อกันยังจุดหมายปลางทางต่างถิ่น และครั้งนี้เราก็เลือกหัวหินท้องทะเลสวยฟ้าครามบรรยากาศชิวเป็นปลายทางการ ทดสอบ ซึ่งการเดินทางไกลบนถนนหลวงนั้นเป็นสิ่งที่รถอเนกประสงค์เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ และมันจะเป็นเช่นไรกัน

เรารับผู้โดยสารเพิ่มมากอีกคนเพื่อ ทดสอบความสะดวกสบายและเป็นเพื่อนร่วมทางในยามเหงา ซึ่งเมื่อพูดถึงเพื่อนร่วมทางคนนี้สูง 162 เซนติมเตร หนักไม่เกิน 50 กิโลกรัม เมื่อรวมกับตัวผู้ทดสอบที่สูง 182 เซนติเมตร ช่วงนี้อ้วนไปนิดหนัก 90 กิโลกรัม มันทำให้รถ Chevrolet Captiva ที่มีน้ำหนัก1.725 ตัน น่าจะมีน้ำหนักราวๆ เกือบ 2 ตัน สัมภาระนั้นแค่กระเป๋าเป้ 2 ใบเท่านั้น

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

สิ่งแรกที่เราควรทำก่อนออกเดินทางนั้นคือการเช็คลมยาง เราจัดการปรับตรวจสอบ ที่ 35 ปอนด์ต่อตารางนิ้วทั้ง 4 ล้อ ก่อน เติมน้ำมันเพื่อตรวจสอบอัตราเฉลี่ยในเมือง แม้นี่จะเป็นวันเสาร์แต่วันหยุดยาวอย่างนี้ รถบนถนนเยอะมาก จนกว่าเราจะมาเติมน้ำมันอีกครั้งนั้น ก็วิ่งออกมาจนถึงแยกวังมะนาว โดยในระหว่างทางขับความเร็วปกติ 80-130 กิโลเมตรโดยเฉลี่ย มีกดเร่งแซงบ้างตามจังหวะ และทั้งหมดนั้นไม่ได้ใช้โหมด ECO เลยแม้แต่น้อย

เด็กปั้มเสียบหัวจ่ายสรุป เติมไปทั้งหมด 760 บาท ได้น้ำมันมา 25.731 ลิตร ส่วนระยะทางนั้นขับตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนที่เติมน้ำมัน เป็นระยะทางกว่า 237.3 กิโลเมตร ซึ่งเมื่อดีดเครื่องคิดเลขอย่างไว ในช่วงการจราจรที่คับคั่งถึงติดขัดหนัก วิ่งไม่สบายตัวนัก เจ้า Captiva ดีเซล นี้ซดน้ำมันไปกว่า 9.2 กิโลเมตร ต่อลิตร แต่ก็ไม่แปลก เมื่อพูดถึงน้ำหนักรถระดับนี้

ได้เวลาลุยไฮเวย์ ทางนี้สิของเขา

เราเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยก็เซท 0 วิ่งต่อไปยังจุดหมาย โดยเป้าหมายของน้ำมันถังนี้คือการหาอัตราประหยัดที่เหลือของรถทั้งในการเดิน ทางไกล เราใช้ Eco Mode ที่คุณสามารถสัมผัสปุ่มได้ง่ายๆข้างๆ คันเกียร์ และเมื่อระบบทำงานจะแจ้งเตือนผ่านหน้าปัดทางขวามือด้านล่าง

ความแตกต่างในการขับขี่โหมดประหยัดกับทั่วไปนั้น อยู่ที่การตอบสนองของคันเร่งที่จะช้ากว่าเล็กน้อย เพื่อลดการคิกดาวน์ ซึ่งก็จะน้อยกว่าจนสังเกตได้ชัด แต่ในการขับทางยาวๆแบบนี้ การใช้ Cruise Control นั้นจะช่วยได้มาก และสามารถควบคุมได้ที่พวงมาลัย ทำงานเข้าใจง่าย กดปุ่มบนเพื่อเปิดปิด -ถัดลงมาเป็นการยกเลิก ส่วนที่อยู่ด้านล่าง ปุ่มบนคือ Reset ใช้เมื่อยกเลิกแล้วอยากกลับไปที่ความเร็วเดิม ส่วนถัดลงมาคือ SET ใช้ในการล็อกความเร็ว

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

การเดินทางตอนนี้เป็นทางโล่ง จึงเป็นครั้งแรกที่เราได้สังเกตรอบการทำงานเครื่องยนต์ที่เกียร์ 6 ของ Chevrolet Captiva Diesel โดยในอัตราความเร็ว 90 กิโลเมตร ต่อชั่วโมงนั้น ใช้รอบเครื่องเพียง 1700 รอบต่อนาที แต่ถ้าขับเร็วขึ้นนิดที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็อยู่เพียงแค่ 2200 รอบเท่านั้น

สิ่งหนึ่งที่ดูจะไม่พูดถึงไม่ได้ คงเป็นเรื่องของระบบช่วงล่างของ Chevrolet Captiva ที่สามารถตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม ในความมั่นคงในยามเดินทาง นิ่มนวลและนิ่งสนิท แต่ไม่กระด้างจนเกินไป ยิ่งมองถึงล้อขนาด 19 นิ้ว ก็ยิ่งน่าทึ่งในเรื่องนี้ ผ่านถนนที่ปะตามรายทางไม่กระเทือนมาก และเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ

ขับมาพักเดียวเราก็มาถึงชะอำ ซึ่งถนนข้างหน้าเหมาะในการทดสอบความเร็วสูงที่จะได้รู้กันว่า เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร ไปได้เร็วสุดเท่าไร เราปลดโหมด Eco ออกชั่วคราวเพื่อจะได้รู้ถึงสมรรถนะที่แท้จริง โดยเฉพาะ 163 แรงม้าที่ 3800 รอบต่อนาที บวกกับแรงบิดที่ตอบสนองได้ตั้งแต่รอบต้นๆสูงสุด ที่ 360 นิวตันเมตร 1750-2750 รอบต่อนาที จะเป็นอย่างไร

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

เรารอถนนโล่งจริงได้เวลาจัดเต็ม โดยการทดสอบนั้นไม่ได้ใช้ระบบ DSC (Driver Shift control) ที่ให้สามารถเลือกปรับตำแหน่งได้เอง แต่เราใช้การเค้นเครื่องจากกำลังของมันเอง ซึ่งทันทีที่เท้าเรากดลงไปสุดพื้นเกียร์คิกดาวน์ และบัดนั้นความระทึกก็พลันถามหา ด้วยแรงบูสต์จากเทอร์โบ ทำให้เราได้สัมผัสแรงบิดหนักๆ ของเครื่องดีเซล ทะยานอย่างรวดเร็วไม่ต่างอะไรจากรถสปอร์ตจนบางครั้งเครื่องลากรอบเพลินจนสุด เส้นแดงบ่อยครั้ง สรุปงานนี้ทำความเร็วสูงสุดที่ 180 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ซึ่งต้องยอมรับว่าดูเหมือนจะไปได้อีก แต่ท่าท่างจะมีการล็อกไว้ แต่ในช่วงไต่ จาก 160 ก.ม./ช.ม.ขึ้นไปนั้นจะต้องทำใจและใช้ทางยาว

นาทีระทึก..กับความปลอดภัยที่เหนือชั้น

เราใช้ความเร็วมาจนถึงสนามบินหัวหินก่อนที่จะผ่อนลงมาอยู่ที่ความเร็ว เดินทางอีกครั้งซึ่งช่วงถนนแถวนี้นับว่าอันตรายเพราะ เริ่มมีรถเลี้ยวออกมากมาย และในเหตุการณ์หนึ่งนั้น ก็ทำเอาเรามีเสียวไปบ้างเช่นกัน

ความปลอดภัยใน chevrolet Captiva ถือว่ามีเยอะมาก แต่คงไม่บ่อยนักที่จะได้ใช้จริง แต่เมื่อยามฉุกเฉินอย่างเมื่อเราเจอรถ VellFire ไร้มารยาท ที่มุดเข้ามาเลนขวา โดยไม่ได้ ดูข้างหน้าว่าเขาเบรคเนื่องจากรถช้านั้น ผลคือได้เบรคกันตัวโก่ง ซึ่งที่ความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Captiva นั้นสามารถเบรคได้อย่างรวดเร็ว อาจจะมีหน้าทิ่มๆ แต่การันตีความนิ่งด้วยระบบ ABS เช่นเดียวกับระบบควบคุมการทรงตัวที่ทำงานร่วมกันอย่างดี จนถ้าไม่ได้ลืมตาตื่นคงไม่รู้หรอกว่ามันเสียวแค่ไหน

ท่องได้ทุกที่ ตะลุยทุกเส้นทาง

การขับ Chevrolet Captiva ท่องเที่ยวนั้นถือว่าให้ความสะดวกสบายอย่างลงตัว เบาะหลังที่กว้าง ชวนใหุ้ณอาจจะมองคนข้างๆและอยากสะกิดบอกว่าเรามาทำผู้โดยสารเพิ่มกันเถอะ (คงรู้นะว่าหมายถึงอะไร) แต่ถ้าคุณเป็นพวกเพื่อนเยอะ ก็ลงตัวเช่นกัน

การเดินทางใน Captiva นั้น บนถนนหลวงไม่มีปัญหา หรือเรื่องขึ้นเขาก็สบายๆ ขับเรื่อง ด้วยแรงบิดที่ดีจากเครื่องยนต์ดีเซลนั้น ทำให้ไม่ต้องใช้คันเร่งมาก ไม่ต้องคิกดาวน์ให้เปลืองน้ำมัน ขับไปเรื่อยสบายๆ

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

แน่นอนทางบนถนนหลวงคงไม่มีปัญหาแต่เรื่องลุยล่ะ มันจะเป็นอย่างไรบ้าง ถนนลูกรังคือคำตอบ เราเลี้ยวเข้าไปยังป่าเขาลำเนาไพรแถบๆนั้นขับไปเรื่อยเพื่อดูการตอบสนองของ รถซึ่งระบบกันสะเทือนของ Captiva นั้นก็สามารถตอบสนองเรื่องดังกล่าวได้อย่างลงตัวกระเทือนบ้างแต่ไม่ถึงขนาด ไส้เลื่อน แต่ทางขุรขระสำหรับรถระดับนี้คงไม่ได้ใช้มากเท่าไร

อย่างหนึ่งที่ติดมาใน Captiva นั้นเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ อัตโนมัติ ซึ่งจะทำงานเมื่อตรวจจับการลื่นไถล และมันตอบสนองได้เร็วกว่าที่คิด แต่อย่าคาดหวังมาก ว่ามันจะลุยได้เต็มพิกัด เพราะจุดประสงค์นั้นเพื่อตอบในเรื่องการทรงตัวทางขุรขระโดยเฉพาะทางลูกรัง ซึ่งทำได้ดีไวจนถ้านั่งคุยเพลินๆ จะไม่รู้เลยว่าได้ใช้งานมันแล้ว

ในระหว่างทางเราก็มีโอกาสได้ลองระบบ Hill Decent Contro l ที่สามารถควบคุมได้ง่ายที่หน้าคอนโซลกลาง เอื้อมลงกดปุ่มแล้วปล่อยเบรค ให้รถจัดการ เพียงแค่ถือพวงมาลัยเท่านั้น ทุกอย่างก็ง่ายดาย แต่ระบบนี้มีข้อเสียเล็กน้อยคือ อย่าลืม! ปิดสวิทช์กลับเพราะไม่งั้นคุณขับลงทางเขามาในช่วงความเร็วสูงนั้นระบบก็จะทำ งาน ได้มีหน้าทิ่มกันบ้างล่ะ

Sanook! drive : chevrolet Captiva diesel

เราท่องเที่ยวในหัวหินกันจนหนำใจ โดยมีน้ำมันติดถังอีกครึ่งถังขับรถกลับกรุงเทพฯ โดยขากลับนี้ได้ใช้การทำงานของ Cruise Control เกือบตลอดทาง คงความเร็วที่ 115 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แวะรายทางทำธุระบ้าง ผลคือเรามาเติมน้ำมันอีกครั้งที่มหาชัยเมืองใหม่ โดยแวะเติมแทบจะทันทีที่มีการแจ้งเตือน ซึ่งหน้าจอแสดงผลนั้นบอกว่าสามารถขับต่อได้อีก 65 กิโลเมตร แต่เราขับมาแล้ว 726 กิโลเมตร ซึ่งถ้านับอัตราซดน้ำมันถึงตอนที่ไฟเตือนก่อนเราแวะปั้ม ที่ในอัตรากินน้ำมันบนจอแดสงข้อมูลบอกว่า เราใช้น้ำมันเฉลี่ย 7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ13 กิโลเมตรต่อลิตรนั้น แสดงว่าน้ำมันจะเตือนเมื่อ มีเหลือในถังราวๆ 5 ลิตร ทว่าหากเรานำน้ำมันที่ใช้มาคำนวนนั้น จะพบว่า 726 กิโลเมตรหารด้วย60 (จำนวนน้ำมัน(ลิตร)ที่ใช้ไป) จะได้อัตราประหยัดแท้ที่ 12.1 กิโลเมตรต่อลิตร

ถ้าจะให้นิยาม Chevrolet Captiva Diesel แล้ว รถคันนี้ น่าจะเป็นรถที่ "ลูกชอบ พ่อใช้ แม่ได้ใจ ปลื้มทุกคน" ที่ทุกอย่างลงตัวทั้งสมรรถนะและความประหยัด เช่นเดียวกันกับที่จะไม่ลืมความหรูหราและทันสมัย ยิ่งเมื่อเทียบกับราคา1.6 ล้านบาท แล้วต้องบอกว่ามันเป็นรถที่คุ้มค่าสำหรับกลุ่มนี้

ตารางคะแนนทดสอบ New! Chevrolet Captiva Diesel

คะแนนการทดสอบโดยรวม 93 คะแนน

หัวข้อ

คะแนนเต็ม (25 คะแนน)

คำติชมและข้อเสนอแนะ

รูปลักษณ์ภายนอก

23

หน้าตาที่หล่อเหลาผสานกับความหรูหรานั้น ถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว สำหรับรถรุ่นนี้ เช่นเดียวกับที่ต้องขอชมทีมวิศวกร ที่ทำให้รถคันนี้ดูดีขึ้นในเรื่องยางอะไหล่ใต้ท้องที่มิดชิดขึ้น แต่แน่นอนโฉมหน้าที่ดีขึ้น น่าจะมากับบั้นท้ายที่ดีขึ้นด้วย อันนี้คงต้องเป็นโจทย์ต่อไป ในการซื้อใจผู้บริโภค

ภายในห้องโดยสาร

23

ห้องโดยสารสุดหรูดั้งเดิม ถูกเติมความทันสมัยเข้ามา ด้วย DNA ใหม่ที่ใส่ความสปอร์ตมากขึ้น แต่ไม่ลืมความสะดวกสบาย หลายอย่างใช้งานง่ายและลงตัว แต่มีข้อติเล็กน้อยในยามค่ำคืน โดยเฉพาะตัวสวิทช์ต่างๆ ที่พวงมาลัย ซึ่งเมื่อเยอะ ซับซ้อน และไม่มีไฟ ต้องใช้ความชินในการหาปุ่มต่างๆ ในยามค่ำคืน หลายครั้งกดผิด-กดถูกบ้าง และน่าจะควรปรับปรุงในเรื่องนี้

สมรรถนะเครื่องยนต์และความประหยัด

23

ขุมพลังใหม่ดีเซล 2.0 ลิตร 163 แรงม้าสามารถตอบสนองการขับขี่ได้ดีไม่มีอืด ขับสนุกจนนึกว่ารถสปอร์ต ลากกันจนลืมเรื่องน้ำมัน อันนี้เป็นข้อดี แต่ข้อเสียนั้นกลับมาอยู่ที่ Eco โหมด ที่เน้นขับประหยัด หลายครั้งที่รถตอบสนองได้แต่ไม่ดี เพราะ เน้นความประหยัด บางครั้งหนืดจนน่ากลัวเหมือนกัน เช่นเดียวกับเกียร์ในโหมดเลือกเอง กลับพบว่าขับโหมด D กลับสนุกกว่า เนื่องจากเกียร์ตอบสนองช้า แต่ดีกว่าที่เคยได้ขับเบนซิน

ระบบกันสะเทือนและเทคโนโลยี

24

ช่วงล่างนั้นเซทมาได้ลงตัว เมื่อรวมกับระบบ ESP แล้วถือว่าตอบสนองได้ มุดเปลี่ยนเลนแรงๆไม่มีโคลงมั่นใจได้ หรือในทางขุรขระเจอหลุมบ่อก็ไม่หวั่น แม้ในรุ่นที่เราขับ ล้อและยางที่แก้มเตี้ย น่าจะทำให้กระเทือนมากกว่านี้ แต่ก็ไม่มีเรื่องราวเช่นนั้น ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีต่างนั้นทำได้ดีและลงตัวอยู่แล้ว แต่น่าจะหามาเพิ่มมากกว่า เช่นระบบ key less entry อะไรแบบนี้ หรือ กล้องมองหลัง น่าจะช่วยให้สะดวกมากยิ่งขึ้น ในการขับขี่ แต่ขอชมเรื่องเครื่องเสียง 3 มิติ แจ่มพอกับเครื่องเสียงชั้นนำ

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม