Honda CR-V 2012 วิ่งทดสอบอีกแล้ว (ในอเมริกา)

ออกมานานหลายปีแล้วครับ สำหรับ CR-V รถยนต์ SUV รุ่นขายดีของ Honda คันนี้ ซึ่งก็มีการปรับเปลี่ยนโฉมกันเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็น Minor change กันไปหลายครั้ง ซึ่งตอนนี้นั้นเท่าที่ดูแล้ว ที่ทาง Honda ยังไม่ปล่อยตัวใหม่ของ CR-V ออกมา อาจเป็นเพราะว่าตลาดทั่วโลกก็ยังไม่มีคู่แข่งออกรุ่นใหม่ของ SUV หรือ Crossover ที่น่าจับตามองออกมา

แต่ในสหรัฐอเมริกานั้น ในเวลานี้มี Volvo XC60 ที่เป็นที่สนใจและได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ทาง Honda ก็คงจะเตรียมปล่อย Honda CR-V 2012 ออกมาชนกันแล้วล่ะครับ ถึงได้นำรถออกมาวิ่งทดสอบให้เป็นข่าวกัน ด้านเครื่องยนต์ก็คงจะเป็น VTEC 2.4 ลิตร ที่ปรับแต่งเพิ่มความประหยัดเข้าไปเล็กน้อย และอาจจะมีรุ่น Hybrid หรือไม่ก็เป็น EV ไปเลยตามออกมาก็เป็นได้ เนื่องจากทาง Toyota ก็เตรียมตัวและพัฒนา RAV4 แบบไฟฟ้าอยู่เหมือนกัน

ในไทยก็คงต้องรอลุ้นตอนใกล้ ๆ สิ้นปีล่ะครับ รอดูกันในมอเตอร์โชว์งาน Motor Expo 2011 กันก่อน ว่าทาง Honda จะนำเจ้า CR-V 2011 รุ่นใหม่ ออกมาโชว์ให้เห็นกันหรือไม่ เพราะที่ประเทศไทยก็ขายรถยนต์ SUV รุ่นนี้ได้ดีเหมือนกันนะครับ ตอนนี้ก็ดูภาพ Spy Shots จาก Autoblog ไปก่อนนะครับ แล้วเดากันว่ารูปทรงนั้นเหมือน Volvo รุ่นอะไร?

เปิดสเปค.. Toyota Yaris เวอร์ชั่นยุโรป

หลังจากทาง Thaicarlover.com ได้นำเสนอข่าวเปิดตัวรถยนต์ Toyota Yaris เวอร์ชั่นยุโรปไปในตอนที่แล้ว
ล่าสุดทางเราได้ข่าวมาว่า…

โตโยต้าได้เผยเสปค และภาพอย่างเป็นทางการออกมาอีกชุด สำหรับ Toyota Yaris เจนเนอเรชั่นที่ 3 เวอร์ชั่นยุโรป แบ่งทางเลือกออกเป็น 4 รุ่นย่อย ได้แก่ Entry, Active, Style และ Lounge แยกตามอุปกรณ์มาตรฐาน และการตกแต่งภายใน โดย Yaris รุ่น Active ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรุ่นที่ใช้สำหรับดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ รุ่น Style จะใช้เจาะกลุ่มวัยรุ่น ส่วนรุ่น Lounge สำหรับเจ้าของ Yaris เดิม หรือลูกค้าที่ขยับจาก C-segment มาหารถรุ่นเล็กกว่า

Toyota Yaris 2012-Euro Version

Toyota Yaris 2012-Euro Version

ด้านรูปลักษณ์ภายนอก มิติตัวรถ ยาว 3,885 มม. เพิ่มขึ้น 100 มม. กว้างเท่าเดิม 1,695 มม. สูง 1,510 มม. ลดลงจากเดิม 20 มม. ฐานล้อเพิ่มขึ้น 50 มม. พร้อมออกแบบให้ระยะโอเวอร์แฮงก์หน้า – หลังสั้น เพื่อให้การขับขี่ได้บุคลิกของความสปอร์ต และปราดเปรียวขึ้น

Toyota Yaris 2012-Euro Version-02

Toyota Yaris 2012-Euro Version-02

ส่วนเครื่องยนต์มากับ 3 ทางเลือก บล๊อคแรกเบนซิน 3 สูบ VVT-i ดาวน์ไซส์ความจุเหลือ 1.0 ลิตร กำลังสูงสุด 69 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 9.4 กก.-ม. ที่ 3,600 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 21 กม./ลิตร อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 110 กรัม/กม. และติดตั้งระบบ Stop & Start มาให้

Toyota Yaris 2012-Euro Version-03

Toyota Yaris 2012-Euro Version-03

ต่อด้วยรุ่นเบนซิน 1.33 ลิตร Dual VVT-i กำลังสูงสุด 99 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 12.7 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที จับคู่เกียร์ CVT รุ่นใหม่ Multidrive S เลือกได้ว่าจะใช้งานในโหมดออโตเมติก 7 จังหวะ หรือสนุกด้วยการใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 19 กม./ลิตร อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 118 กรัม/กม.

ปิดท้ายด้วยรุ่นแรงสุด เครื่องยนต์ดีเซล 1.4 ลิตร D-4D กำลังสูงสุด 90 แรงม้าที่ 3,800 รอบ/นาที แรงบิด 20.8 กก.-ม. ที่ช่วง 1,800 – 2,800 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 25 กม./ลิตร อัตราการคายคาร์บอนไดออกไซด์ในไอเสีย 103 กรัม/กม. พร้อมลดปริมาณการเกิดก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ด้วยการติดตั้งตัวกรองอนุภาคไอเสีย DPF หรือ Diesel Particulate Filter

สำหรับแฟนๆ โตโยต้า ยาริส อาจจะต้องรอลุ้นกันครับว่า รถยนต์รุ่นนี้จะมาอวดโฉมในงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปร 2554 (Motor Expo 2011) ในปลายปีนี้หรือไม่ครับ

อย่าพลาดติดตามอัลบั้มรูปรถยนต์เด่น พริตตี้น่ารักๆ รวมถึงความเคลื่อนไหวในวงการรถยนต์ทั้งไทย และต่างประเทศได้ใหม่กับ Thaicarlover.com ครับ

Suzuki Swift Sport มาแน่ปี 2012

Suzuki Swift เจเนเรชั่นใหม่เพิ่งภูมิใจนำเสนอในตลาดโลกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 เวลาผ่านไปก็จะครบรอบอายุ 1 ปีแล้วแต่วันนี้เรายังไม่เห็น Swift เวอร์ชันสปอร์ตเต็มพิกัดเหมือนกับรุ่นปัจจุบันเลย หรือว่า Suzuki จะกลับลำงดนำเสนอเวอร์ชันนี้?

Suzuki Swift Sport มาแน่ปี 2012 รูปที่ 1

ข่าวล่าสุดจากเว็บไซต์ GoAuto ออสเตรเลียรายงานว่าSuzuki ตั้งใจทำตลาด Swift Sport เจเนเรชั่นใหม่แน่ภายในต้นปี 2012 โดยพัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบโปรโตไทป์ Suzuki S-Concept ที่เคยอวดโฉมในงาน Geneva Motorshow และ Australian Motorshow ที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานนัก

สเปคเบื้องต้นที่พอจะคาดหวังได้ก็คือเครื่องยนต์ 1.6 ลิตร 136 แรงม้า จับคู่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะและอาจมีเกียร์อัตโนมัติให้เลือก ส่วนลูกค้าชาวไทยจะได้สัมผัส Suzuki Swift โฉมใหม่ในคราบอีโคคาร์ความจุกระบอกสูบ 1.2 ลิตรที่เตรียมจะเปิดตัวในงาน Bangkok Motorshow 2012 นี้

ขอบคุณที่มาจากSuzuki Swift Sport มาแน่ปี 2012 รูปที่ 2

เปรียบมวย Galaxy S2 กับ iPhone 5

เปรียบมวย iPhone 5 กับ Galaxy S2

เสียงตอบรับชื่นชมทีมีต่อ Samsung Galaxy S II มีให้ได้ติดตามไปทั่วเว็บ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของดีไซน์ที่บางเบาลงได้อีก ตลอดจนสมรรถนะการทำงานที่ต้องถือว่า เป็นสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในขณะนี้ ล่าสุดผ่านหลัก 3 ล้านเครื่องไปแล้ว จนหลายคนเริ่มไม่แน่ใจว่า iPhone 5 ของ Apple ที่คาดการณ์ว่าน่าจะเปิดตัวช่วงเดือนกันยายนศกนี้ เมื่อถึงเวลานั้น มันจะแรงเหมือนรุ่นก่อนๆ หรือไม่? ในขณะที่ Samsung Galaxy S II ยังคงมียอดจำหน่ายร้อนแรงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะยังไม่ได้วางตลาดในสหรัฐฯ

จากข้อมูลในขั้นต้นทีนักวิเคราะห์ ได้ทำการเปรียบเทียบสเป็กของ Samsung Galaxy S II กับเสป็กจากข่าวของiPhone 5 พบว่า Samsung Galaxy S II จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นกว่า iPhone 5 อยู่หลายประการทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น กล้องทีดีกว่า หน้าจอแสดงผลที่ใหญ่กว่า ระบบปฏิบัติการที่ตอบโจทย์ใช้งานหลากหลาย และอินเตอร์เฟซการใช้งานใหม่ๆ มากมาย โดยเฉพาะกล้องหลังทีสามารถบันทึกวิดีโอฟูลไฮเดฟฯ 1080p ตลอดจนคุณภาพของรูปถ่ายที่ไม่ธรรมดา สเป็กภายในใช้ดูอัลคอร์โพรเซสเซอร์ 1.2GHz และหน่วยความจำ 1GB ซึ่งแรงกว่าสเป็กของ iPhone 5 ที่ใช้ A5 ชิป iPad 2 นอกจากนี้ ยังมีรายงานออกมาด้วยว่า TouchWiz UI บน Android 2.3 Gingerbread ทำให้ Samsung Galaxy S II มีอินเตอร์เฟซที่สวยงามน่าใช้มากกว่าเดิม

นอก จากจุดเด่นหลายๆ ประการข้างต้นที่เหนือกว่าสเป็ก iPhone 5 แล้ว การใช้จอแสดงผล Super AMOLED ยังทำให้Samsung Galaxy S II มีหน้าจอที่สวยงาม สว่างสดใส และคอนทราสสูงเป็นพิเศษ ถ้าจะมีข้อด้อยกว่า iPhone 5 ก็น่าจะเป็นเรื่องของความละเอียด อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปข้างต้นที่ออกมาจากนักวิเคราะห์หลายๆ ราย เชื่อมั่นว่าSamsung Galaxy S II จะเป็นสมาร์ทโฟนที่เยี่ยมยอดทีสุดในตระกูล Android และมีฤทธิ์เดชมากพอที่จะต่อกรกับiPhone 5 ของ Apple แต่ทั้งนี้คงต้องรอดูด้วยเหมือนกันว่า Apple อาจจะมีเซอร์ไพรส์ในช่วงเดือนกันยายน ศกนี้ก็ได้

เว็บไซต์ในข่าว: Samsung, Apple

11 รถตำรวจพันธุ์เขียว ที่คุณอาจจะไม่เคยเห็น!!!

ทุกวันนี้กระแสรักสิ่งแวดล้อมนั้นถือว่าเป็นกระแสหนึ่งที่มาแรงมากๆ บนอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะเมื่อรถยนต์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน เมื่แประกอบกับราคาน้ำมันที่ต่างพุ่งสูงขึ้นเป็นทวีคุณนั้นก็ไม่น่าแปลกใจนัก ถ้าเราจะพบว่ารถในปัจจุบันมีสมรรถนะที่ดีขึ้นพร้อมความประหยัด และก่อให้เกิดรถพันธุ์เขียวที่มุ่งเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน

ในบ้านเรานั้นรถของเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฏร์อาจจะไม่ได้หรูหราอะไรมากมายนัก แต่ที่ต่างประเทศกรมตำรวจที่นั่นเขาก็ยังใส่ใจเรื่องราวของสิ่งแวดล้อม และต่อไปนี้เป็น 11 รถตำรวจสุดเจ๋งที่อาจจะไม่เคยรู้ว่ามันมีจริงก็ได้

11.Nissan Altima hybrid

ราคาที่เริ่มต้นที่ 25,391 ดอลล่าร์อาจจะไม่ใช่ราคาที่ถูกนักสำหรับม้าใช้งาน แต่ Nissan Altima hybrid ก็ได้รับการคัดเลือกเข้าประจำการใจกรมตำรวจนิวยอร์คมหานครชั้นนำของโลกในการตรวจตราและสอดส่องความสงบเรียบร้อย ซึ่งมันกินน้ำมันเพียง 15 กิโลเมตรต่อลิตรในการเดินทางในเมืองหลวงเท่านั้น

10 Opel Ampera Green Police Car

รถรุ่นนี้ไม่คุ้นหน้าตาในบ้านเรา แต่ที่เมืองนอกนั้นมันมีขายและได้รับการปั้นเป็นม้างานของตำรวจ ด้วยอัตราประหยัดสุดทึ่งสามารถขับด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลถึง 80 กิโลเมตร แต่ถ้าไฟหมดก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีเครื่องยนต์ 1.4 ลิตร คอยปั่นไฟชาร์จช่วย ที่ทำให้มันเดินทางน้ำมันถังเดียวไกลถึงเกือบ 500กิโลเมตรเลยทีเดียว

9 AC Schnitzer Police MINI E R56

เจ้าตัวเล็กจากค่ายตราพัดฟ้า หากใครยังจำได้มันมีการแนะนำเวอร์ชั่นไฟฟ้าออกมาแล้ว ด้วยความทันสมัยและคล่องตัวก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรถตำรวจกับเขาด้วย ยิ่งเมื่อพูดถึงอัตราเร่ง 0-100 ใน 8.5 วินาที พร้อมพละกำลัง 204 แรงม้า ทำความเร็วสูงสุดล็อกไว้ที่ 152 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันก็พอจะมีเขี้ยวเล็บที่จะประมาทไม่ได้เลยทีเดียว

8 Mitsubishi i-MiEV

เจ้าซิตี้คารพลังไฟฟ้าขนานแท้ ถือเป็นรถอีกคันที่เข้ามาอยู่ในสังกัดตำรวจแดนผู้ดีในเขต Thame Valley ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนครลอนดอน แน่นอนมันอาจจะเดินทางไม่ไกลนัก แต่ 160กิโลเมตรในการเดินทางต่อการชาร์จไฟ 1 ครั้ง และความเร็วปลายที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็พอเพียงจับโจรในเขตเมือง

7 Toyota Camry Hybrid

ไฮบริดพันธุ์ทางจากค่ายสามห่วงนี้ได้รับความไว้วางใจเข้ามาใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอินเดียน่าโปลิส ที่ถูกจัดให้เป็นรถของนักสืบ ซึ่งอัตราประหยัดที่มากขึ้นอีก 13 ไมล์ ต่อแกลลอน ทำให้มันช่วยลดค่าใช้จ่ายของกรมตำรวจที่นั่นได้


6 Ford Fusion Hybrid Patrol Car

พูดถึงรถไฮบริดในกรมตำรวจ คงไม่มีรถคันไหนน่าจดจำกว่า ford Fusion ที่มันเป็นรถรุ่นแรกๆของตำรวจนิวยอร์ค มาพร้อมพละกำลัง 155 แรงม้าควบกับระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ที่แม้พละกำลังอาจจะฟังไม่ดูไม่น่าขับสนุกนัก แต่มันประหยัดสุดขั้วด้วยเรือนร่างขนาดใหญ่แต่ให้อัตราประหยัดถึง 17 กิโลเมตรต่อลิตร เลยทีเดียว

5.Ford Escape Hybrid Patrol Vehicles

รถอเนกประสงค์ที่คุ้นหน้าตาในไทย ใครจะคิดว่ามันมีไฮบริดด้วย และมันได้รับความไว้วางใจแต่ก็ต้องแลกกับค่าตัวระดับ 50,000 ดอลล่าร์ที่สามารถซื้อรถธรรมดาได้มากถึง 2 คันเลยทีเดียว

4 Lexus GS 450h hybrid

ขุมพลัง v6 3.5 ลิตร 341 แรงม้าจากโรงงานนั้นอาจจะฟังดูน่าประทับใจ แต่ใครจะเชื่อว่า Lexus รุ่นนี้คือไฮบริดจอมประหยัดที่ให้อัตราเร่ง 0-100 ใน 5.9 วินาทีพอฟัดได้กับเครื่องยนต์ V8 แต่ประหยัดกว่าถึง 35.9 ไมล์ต่อแกลลอนเลยทีเดียว

3.Mercedes F-Cell

คันนี้เพิ่งจบการขับออนทัวร์รอบโลกไป แต่ความจริงแล้วรถซิตี้คาร์จากค่ายดาวสามแฉกคันนี้ถูกนำมาทดลองใช้สักพักหนึ่งแล้วในเขตเมือง Detroit ในฐานรถตรวจการณ์ของเจ้าหน้าที่ ในมหาวิทยาลัยWayne State University ที่ขับไปรอบๆมหาวิทยาลัย แต่กระนั้นก็อย่าดูกเพราะมันมีทุกอย่างครบเครื่องตั้งแต่ไซเรน ยันวิทยุเรียกกำลังสนับสนุนที่พร้อมปฏิบัติการ

2.Chevy Impala electric police car

ยานยนต์จากค่ายโบว์ไทนก็เป็นหนึ่งที่ได้รับคัดเลือกเข้ามาประจำการ โดยเฉพาะนี่ถือเป็นหนึ่งในรุ่นบุกเบิกรถตำรวจพันธุ์เขียวที่ใช้ยาวนานมากว่าหลายปี แต่ข้อดีมีหมดยกเว้นอย่างเดียวคือมันไม่ถูกกับฝน ซึ่งอาจจะทำให้วงจรไฟฟ้าได้รับความเสียหายได้

1.Chevy Volt as a cop car

อาจจะพึ่งออกมาปีที่แล้วแต่พ่อเมืองนิวยอร์คมองว่ามันน่าจะเหมาะการใช้งานของเจ้าหน้าที่ในเขตเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหานครที่แอดอัดแห่งหนึ่งของโลก จึงผุดไอเดีย ซื้อรถรุ่นนี้มาประจำการ ที่อัตราประหยัด 93 ไมล์ต่อแกลลอนนั้น น่าจะทำให้หลายคนประทับใจ

ทั้งหมดนี้คือรถตำรวจพลังเขียวที่คุณอาจจะไม่เคยได้เห็นโดยเฉพาะในบ้าน แต่ความจริงแล้วถ้าพูดถึงการรณรงค์ให้คนหันมาใช้พลังงานทางเลือกนั้น รัฐต้องเป็นผู้นำในการปลูกฝังให้คนคิดอยากจะใช้

Sanook! Auto Comment

รถตำรวจที่แปลกเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่มันคือรถยนต์ไฮบริดที่ออกวางจำหน่ายจริงและใช้งานจริงในต่างประเทศ ซึ่งหากสังเกตไฮบริดเหล่านี้ส่วนใหญ่จะประจำการในนครนิวยอร์ค ซึ่งเป็นเขตเมืองหลวงที่มีการจราจรคับคั่ง และเมื่อนับจำนวนรถตำรวจในปัจจุบัน มีการกล่าวว่านิวยอร์คเป็นมหานครรถตำรวจพลังเขียวอันดับ 1 ของโลกเลยทีเดียว

2012 Chevrolet Captiva ..มีดีทุกด้านแต่น่ารอดีเซล!!

ก็ห่างหายกันไป 1 วันเต็มๆครับ สำหรับการอัพเดทเว็บ Sanook! Auto ของเราที่ในครั้งนี้หายไปแบบแอบเซอร์ไพร์ส เพื่อทำภารกิจฟิชโช่ที่ทางค่ายยานยนต์โบว์ไทน์บุ๊คตัวไปขับทดสอบรถอเนกประสงค์คันใหม่ ที่หวังปั้นยอดขายดึงใจด้วยหนึ่งเดียวในตลาดอเนกประสงค์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ได้

ความเป็นหนึ่งที่บุกเบิกในตลาดอเนกประสงค์นี้ ทำให้เรารู้สึกสนใจเจ้ารถอเนกประสงค์คันนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำมัน E85 ที่ถูกพอๆกับเติมแก๊ส แต่อาจจะยังหาใช้ยากสักหน่อยที่คงต้องรอค่ายน้ำมันยักษ์ใหญ่ช่วยดัน ถึงแม้นโยบายในเรื่อง e85 นี้จะมีมานานกว่า 4-5 ปีแล้วก็ตาม

2012 Chevrolet Captiva

LTZ ...ที่สุดในตัวท๊อปที่ครบเครื่องจากโรงงาน

หลังจากฝ่าการจราจรในเมืองมาจนถึงที่นัดหมายย่านใจกลางเมืองเราก็พบกับ Chevrolet Captiva ใหม่ที่พร้อมรอให้เราขับในโรงแรมย่านราชประสงค์ ซึ่งเส้นทางของเรานั้นคือขับจากใจกลางเมืองสู่ปลายทางธรรมชาติที่เขาใหญ่ โดยมีระยะทางประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร เป็นบททดสอบสำคัญ

เราใช้เวลาเดินสำรวจรถสักครู่หนึ่งเพื่อหาข้อแตกต่างของรถรุ่นใหม่จากรุ่นเดิมที่สามารถสังเกตได้ทันทีที่มันเตะตาด้วยลุคที่โมเดิร์นและดุดันยิ่งขึ้น ไฟที่ดูหรูหราถูกปรับให้สปอร์ต มีเพื่อนสื่อบางท่านบอกว่าเหมือนไฟ Lancer EX แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในรุ่นท๊อปสุดนี้มาพร้อมล้อขอบ 19 นิ้ว และยาง Hankook Optima จากโรงงาน ส่วนบั้นท้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยและที่เซ็งที่สุดคือตำแหน่งการวางยางอะไหล่ใต้ท้องด้านหลัง ที่ยืนใกล้ๆอาจจะเฉยๆ แต่เมื่อยืนไกลๆก็จะเห็นชัดเจน ยิ่งใครขับตามกลางคืนส่องไฟหน้าเข้า แทบจะร้องว่า "แม่เจ้า!" เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับรถราคาล้านกลาง แต่ได้ข่าวว่าวิศวกรก็สังเกตเห็นข้อนี้เช่นกันและอาจจะเอาออกแล้วแทนที่ด้วยตัวช่วยแบบอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยใช้แรง

2012 Chevrolet Captiva

ในช่วงแรกเรารับบทเป็นผู้โดยสารที่ดีเพื่อสัมผัสอรรถรสเต็มที่ของ Chevrolet Captiva ใหม่ ซึ่งทันทีที่ปิดประตูหย่อนตัวลงบนเบาะหน้า ก็สามารถรับรู้ความรู้สึกที่สะดวกสบายทันสมัย ตบแต่งอย่างลงตัว กลิ่นไอความสปอร์ตแฝงมาเล็กๆ ที่จะพอรู้สึกได้ แต่โดยรวมการออกแบบคอนโซลหน้าทำได้ดี ช่องเก็บของต่างๆ เพียบ ส่วนด้านหลังนั่งสบายไร้ปัญหาไม่ว่าจะตัวใหญ่แค่ไหนก็ลงตัว มีพื้นที่วางขาเหลือพอให้นั่งขัดสมาธิ แต่ที่ดูเหมือนจะขาดคือแอร์ตอนหลังที่น่าจะเพิ่มเข้ามาในอนาคต

เมื่อเริ่มออกจากจุดสตาร์ทเพื่อนสื่อมวลชนของเราพาเราทะยานผ่านการจราจรที่ติดขัดในเมือง ย่านราชประสงค์มุ่งสู่ถนนพระรามที่ 4 เพื่อต่ออยอดออกนอกเมืองนั้น Captiva ค่อนข้างให้ความคล่องตัวได้ดีในระดับหนึ่ง การใช้พวงมาลัยนั้นเท่าที่สังเกตค่อนข้างมีความแม่นยำในระดับที่น่าพอใจ

เรามุ่งเข้ามอเตอร์เวย์ที่เพียงอึดใจเดียวความเร็วก็ไต่ไประดับ 130 ก.ม./ชม. จนแทบไม่ทันสังเกตเพราะเสียงเครื่องนิ่มมาก ประกอบกับเสียงรบกวนจากห้องโดยสารก็ถูกขจัดแทบหมดสิ้นเสียงแหวกลมที่รบกวนใจ ในขณะที่การสั่งสะเทือนจากการขับขี่ในห้องโดยสารไม่ค่อยไม่ค่อยมีมากมายนัก แม้จะเป็นล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว ก็ตาม

2012 Chevrolet Captiva

การขับขี่สนุกที่ผ่านการทดสอบจริง

ความสบายในการขับขี่นั้นทำให้สุนทรีย์การเดินทางดีขึ้นโดยที่ไม่รบกวนใจในระหว่างล้อหมุนยิ่งได้ระบบ 3D Sound staging ที่ขับกล่อมผ่านลำโพง 8 ตัวในรถ ควบคุมการทำงานอย่างเหนือชั้นผ่านชุดควบคุมคอมพิวเตอร์ ทำให้รู้สึกได้ว่าเครื่องเสียงในรถนั้นมีมิติเสียงที่แตกต่างอยากชัดเจน โดยสามารถเลือกได้ 2 โหมด คือ Passenger และ Driver ให้การตอบสนองผ่านเสียงกลางและเสียงแหลม โดยมาพร้อมระบบนำทาง และช่องเสียบ USB ที่ต้องปลดคอนโซลกลางเลื่อนถอยหลังเพื่อเสียบใส่ ซึ่งอาจจะลำบากถ้าคุณขับรถคนเดียว

การเดินทางของเรานั้นไม่นานก็มาถึงฉะเชิงเทรา ที่ใครจะคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นบททดสอบสำคัญ ที่ก่อนหน้าที่เราจะออกเดินทาง GM ได้บอกข้อมูลมาคร่าวๆว่าพวกเขาจัด E85 ไว้ให้ได้ลิ้มลองกัน ซึ่งระหว่างทางที่มาก็ตอบสนองได้ดี แต่จะเอาอะไรเป็นตัวชี้วัดที่ดีว่ารถคันนี้ทรงสมรรถนะ

2012 Chevrolet Captiva

คำตอบนี้ไม่มีอะไรดีเท่าการขึ้นประชันกับรถของคู่แข่งค่ายๆอื่น ที่ไม่ช้านานเราก็โดนเพื่อนในคาราวานทดสอบส่งไม้ให้ไปไล่ BMW X3 ซึ่งขับบึ่งตามกันมา ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าไม่ถูกต้องนักและไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เพื่อนสื่อมวลชนผู้กุมพวงมาลัย ก็อยากลองว่าสมรรถนะ Captiva ใหม่ จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน

ในตอนที่แซงผ่านไปนั้นเราลอยอยู่ที่ความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่จะกระชากเข้าสู่โหมด Driver Shift Control ที่ใช้งานง่านดายเพียงผลักออกข้างซ้ายของตำแหน่ง D แล้วผลักคันเกียร์ขึ้น เพื่อเพิ่มตำแหน่งเกียร์ และตบลงเพื่อลดตำแหน่งเกียร์ ซึ่งทันทีที่เข้าโหมดนี้ เราพบว่าการสั่งการเปลี่ยนเกียร์ Captiva ใหม่ ออกแนวหน่วงเล็กน้อย ก่อนจัดการตามใจฉันแต่ก็ไม่เลวร้ายนักถ้าจับจังหวะได้ แล้วเราก็เร่งเข้าประชิดคู่ขาทันที

2012 Chevrolet Captiva

ถ้าเทียบ Captiva กับรถอเนกประสงค์ยุโรปนั้นถือว่าเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างหนักเอาการและเพื่อนสื่อฯ เราก็พยายามเค้นสุดชีวิตพร้อม 4 ชีวิตในรถและสัมภาระกระเป๋าเป้คนละใบ ทำการประชิดข้าศึกจนทะลุเพดานความเร็วปลายได้ที่ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่รอบ 5000 กว่าๆ รอบต่อนาที

ส่วนคู่แข่งเราก็หนีเต็มที่แต่ก็ห่างกันเพียงช่วง 2 คันรถ แต่แล้วเราก็พบปัญหาอย่างหนึ่งคือถ้าคุณเค้นพละกำลังมากจะได้กลิ่นน้ำมันเข้ารถอย่างชัดเจนได้ดมกันทั่วหน้า ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าปลื้มนักถ้าลูกค้าใช้งานและเดินทางไปกับครอบครัว

หลังทานมื้อเที่ยงจนอิ่มหนำในที่สุดก็เป็นโอกาสของเราที่จะได้สัมผัสการขับขี่ของ Chevrolet captiva ใหม่ด้วยตนเอง ที่เส้นทางใน session 3 นี้ค่อนข้างจะเป็นเส้นทางผสมผสาน ทั้งทางลาดยางและลูกรัง ซึ่งทันทีที่หย่อนตัวลงบนเบาะค่อนข้างน่าประทับใจในความนุ่มสบายก่อนปรับเบาะที่ทำงานด้วยไฟฟ้าใช้งานง่ายไม่ยากจนเกินเข้าใจให้พอดีกับท่านั่ง ที่ตัวผมสูง 183 หนักตอนนี้เริ่มอ้วนที่ 93 กิโลกรัมนั้น ไม่อึดอัดแถมพื้นที่วางขาเหลือเฟือ แล้วจัดปรับพวงมาลัยให้เหมาะสมรัดเข็ดขัดพร้อมออกเดินทาง

2012 Chevrolet Captiva

ทันทีที่เลื่อนรถสู่การเดินทาง ความรู้สึกทางด้านระบบกันสะเทือนนั้นต้องยอมรับว่าเซทมาอย่างดีจนให้ความประทับใจในการขับขี่แม้จะมีเรื่องกวนใจจากเสียงยางบ้างแต่ก็ถือว่ารับได้ เราขับรถมาเรื่อยก่อนยูเทิร์นเข้าทางของคนในพื้นที่ ซึ่งเส้นทางนี้ค่อนข้างคดเคี้ยวเลี้ยวไปๆมาๆ แต่ช่วงCaptiva ก็ตอบสนองได้ดี เกาะแน่นไม่ย้วย ส่วนหนึ่งมาจากระบบ Traction Contol และการทำงานของ ESP แต่ก็ทำได้ดีเช่นกันเมื่อลองแอบปลดระบบเพื่อความมันส์ ส่วนการโยนตัวในห้องโดยสารนั้นมีเป็นธรรมดาแต่ไม่โคลงมาก ส่วนด้านหลังก็ไม่โยนจนเวียนหัว ถือว่าผ่าน

เราขับมาได้สักพักก็มาเจอทางฝุ่นในถนนปลอดฝุ่น ที่เล่นเอางงตามๆกัน แต่คาราวานเราก็ลุยดะเล่นเอาฝุ่นตลบจนชาวบ้านฝากของแถมมาเป็นนิ้วกลาง ทว่ากลับมาที่บททดสอบ ในจุดนี้รถอเนกประสงค์โบว์สามารถตอบสนองได้ดี แม้ช่วงล่างที่เราบอกแน่นมากน่าจะให้ความรู้สึกกระด้างบนถนนแบบนี้แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

เทคโนโลยีที่เพียบและพร้อมใช้

หลังจากที่เราฝ่าทางลูกรังมาได้ ผมก็ได้โดกาสทดสอบอัตราเร่งของรถอย่างเต็มที่ ที่เราพบว่า Captiva สามารถตอบสนองได้ดีในช่วงรอบกลาง (3-4 พันรอบ) และทำได้ดีขึ้นเมื่อใช้โหมดสับเองแต่ระหว่างเปลี่ยนโหมดนั้นจะมีหน่วงอย่างที่กล่าวไปแล้วประมาณเสี้ยววินาที ส่วนพวงมาลัยนั้นค่อนข้างเบาแต่แม่นยำสูงพอตัวเลยทีเดียว

2012 Chevrolet Captiva

เราลองเหวี่ยงโค้งเล็กน้อยในย่านความเร็วสูงพบว่าไม่มีหนทางใดที่จะทำให้ได้ยินเสียงยางดังเอี๊ยดๆ!! ทว่าพละกำลังเครื่องจากเบนซินนั้นอาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย โดยเฉพาะยามขึ้นเขาหรือทางชัน เพราะรถจะอืดอย่างชัดเจนจนเหมือนไม่กำลังแต่แก้ได้ด้วยการ คิกดาวน์หรือใช้โหมดตัวช่วยเพื่อลดตำแหน่งเกียร์ ก็พอไหวอยู่

ไม่นานเราก็มาถึงที่หมายที่เป็นอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญในการทดสอบ Hill Decent Control(HDC) ที่ทำงานทันที่กดปุ่มตรงคอนโซลกลาง ใกล้มือซ้ายคนขับ ระบบก็จะเริ่มสั่งการรักษาความเร็วในการลงทางลาดชั้นไม่ให้พุ่งหลาว น่าจะมีประโยชน์มากสำหรับทางชัน แต่หากใช้ร่วมกับ Cruise Control นั้นจะเป็นการรักษาระดับความเร็วที่เดินทางมากเช่นเดินทางมา 20 ก.ม. /ชั่วโมงแล้วล็อคไว้ เมื่อ ทำงานกับ HDC ก็จะปรับการลงเขาในความเร็วของ Cruise speed นั่นเอง

พูดถึง Cruise Control ระบบรักษาความเร็วใน Captiva ใหม่นี้ก็ค่อนข้างใช้งานง่ายทั้งหมดอยู่บนพวงมาลยทางด้านขวา ที่ยังมีการปรับเครื่องเสียงและแอร์เสริมเข้ามาเยอะจนสับสน แต่ก็มีการเล่นระดับให้จับความรู้สึกได้ โดยในส่วนของcruise นั้นพอเปิดSwitch แล้วกดปุ่น Set ที่อยู่ด้านหลังด้านล่างก็จะทำการล็อคความเร็วทันที ซึ่งนอกจากนี้หากใช้ร่วมกับตำแหน่งเกียร์ D และ Eco โหมดที่สามารถเลือกให้ประหยัดได้ ก็พอเห็นตัวเลขประหยัดแถวๆ 10 กิโลเมตรต่อลิตรกันอยู่บ้าง

2012 Chevrolet Captiva

ท้ายที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่พักย่านเขาใหญ่ ที่ซึ่งเราได้ทดลองระบบ Hill Start Assist ระหว่างทางขึ้นลาดชันของ lobby ระบบนี้จะช่วยหน่วงประมาณ 2 วินาที ซึ่งเมื่อทำงานกับเกียร์อัตโนมัติรถจะไม่ไหลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเบนซินนี้ ที่มีแรงบิดสูงในรอบกลางชัดเจนมาก และมีประโยชน์มากต่อท่านสตรีเพศ


LT พระรองก็น่าคบแค่แตกต่างกันเล็กน้อย

หลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนหวานในเช้าวันใหม่นี้เราก้ได้ฤกษ์เดินทางกลับเมืองหลวง ที่เราแทบจะไม่อยากออกจากห้องของ "มุติมายา" รีสอร์ทแสนสวยระดับหรูที่หากมีโอกาสต้องมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติที่นี่

ในแมทช์ขากลับนี้เราโบกมือลาเจ้า LTZ แล้วโดดขึ้นรุ่น LT แต่ทีแรกก็นึกว่าเพื่อนๆสื่อจะขับกลับแต่กับให้เรารับหน้าที่พลขับกลับยังกทม. แทนเสียอย่างงั้น การขับรุ่นพระรองนั้นเมื่อหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะที่ตบแต่งเหมือนกันทำให้รู้สึกไม่แตกต่างอะไรมากมายจากรุ่นท๊อปนัก ทั้งเกียร์ 6 สปีด แอร์อัตโนมัติ ฟังชั่นความปลอดภัยและเทคโนโลยีชั้นนำยังมาครบครัน จะขาดก็แต่จอนาวิเกชั่นและทัชสกรีน 7นิ้วที่ยังไร้วี่แววช่องเสียบ USB ด้วย

2012 Chevrolet Captiva

เราเดินทางออกตามเส้นทางถนนมิตรภาพที่สามารถรู้สึกได้ว่าเสียงยางตีปั๊บๆ หายไป เพราะมาล้อคันนี้ใช้ขอบ 18 นิ้ว แต่แทนที่จะรู้สึกว่ารถนุ่มกว่าเจ้าตัวท๊อปกับแข็งกระด้างกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากยางอีกเช่นเคยที่เลือกใช้ยาง Dunlop ซึ่งยี่ห้อนี้มีเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตก็ไม่น่าแปลกใจนัก

โดยรวมสมรรถนะการขับขี่ไม่ต่างจากตัวท๊อปการเก็บเสียงห้องโดยสารก็ทำไม่ได้แพ้รุ่นพี่ แต่แล้วเราก็มาเจอบททดสอบสำคัญช่วงปากช่องเมื่อเพื่อนร่วมทาง เกิดตัดโค้งเข้ามาและในขณะที่อัด140 ก.ม./ชม. เรารู้สึกว่ารถจะมีอาการโยนออกมากขึ้นเมื่อยางแก้มสูงกว่า การเกาะถนนมีความแม่นยำลดลงจนพอสังเกตได้แต่ก็ไม่มากมายนัก เราทำเวลาเข้ากรุงพอสมควรและจัดเต็มบนทางด่วนโทลเวย์เพื่อทดสอบโหมดความเร็วสูงแต่กระแทกกระทั้นเท่าไรความเร็วก็แตะ 170 กม/ชม. เหมือนเดิม ซึ่งไม่แน่ใมจว่าตั้งใจล็อคไว้หรือไม่ ในขณะที่การทรงตัวนั้นทำได้ดีแม้จะเจอวูบวาบบ้างถ้าเจอลมข้าง(Cross Wind)แรงๆ

2012 Chevrolet Captiva

ทั้งนี้หลังจากขับทดสอบ Chevrolet Captiva ใหม่นี้ ต้องยอมรับครับว่าเป็นรถที่มีความอเนประสงค์ลงตัวสมรรถนะการขับขี่เน้นย่านความเร็วเดินทาง ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันที่เราขับความเร็วเฉลี่ย 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแทบจะตลอดทางและย่านความเร็วสูงนั้น เราได้ตัวเลประหยัดจาก trip meter ที่ 12.7 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ 7-8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจสำหรับรถที่มีน้ำหนัก 1.8 ตัน ที่รวมผู้โดยสาร 4 คน+สัมภาระก็น่าจะราวๆ 2 ตันได้

****อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยหลังทดสอบทาง Chevrolet ได้แบไต๋มาว่ารุ่นดีเซลมีแน่แต่จะออกมาในช่วงหลังจากนี้ 6 เดือนหรือในต้นปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นเพราะรอเครื่องใหม่จากกระบะขั้นเทพของค่าย ที่หากไม่รีบรอได้ก็น่าจะรอ

คะแนนขับขี่โดยรวม ของ 2012 Chevrolet captiva

หัวข้อ

คะแนน (เต็ม10) ให้

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

รูปลักษณ์ภายนอก

8

น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบั้นท้ายบ้างโดยเฉพาะเรื่องของที่ไว้ยางอะไหล่ที่โผล่มาจนไม่น่าประทับใจสำหรับรถที่มีราคาล้านอัพ

ภายในห้องโดยสาร

9.5

ทุกอย่างลงตัวเราชอบมากโดยเฉพาะการตบแต่ง แต่ด้วยความเยอะบางทีก็พาสับสนไป โดยเฉพาะที่พวงมาลัยคงต้องใช้ความคุ้นเคย แต่ถือว่ายอดเยี่ยม ทั้งความกว้างด้านหน้า-ด้านหลัง รวมถึงส่วนสัมภาระด้วย แต่น่าจะเพิ่มแอร์ตอนหลัง เพื่อการกระจายลมเย็น

สมรรถนะเครื่องยนต์-ความประหยัด

9

อย่างที่กล่าวว่ารถคันนี้มีดีที่ E85 และเราขอปรบมือให้ความตั้งใจจริงขิง GM แต่เรื่องกลิ่นน้ำมันเข้ารถในการเค้นเครื่อง นี่ต้องแก้ไขโดยไว ส่วนเกียร์ก็หน่วงไปหน่อยถ้ายามคับขันอาจจะเป็นปัญหาได้ แต่การไล่ X3 พอตามตูดได้ถือว่าโอเคเลย

การเกาะถนนและเทคโนโลยี

9.5

ทำได้ดีในจุดนี้ ความหนึบแน่นนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากเทคโนโลยี แต่เราลองแอบปลอดระบบดูก็ถือว่าใช้ได้แท้จะโยนๆไปบ้างก็ตาม

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม