Cherry QQ แต่งสวย










Ferrari VS Truck – เมื่อรถสปอร์ตต้องแข่งขับรถบรรทุก

Ferrari VS Volvo Truck

เมืองนอกเค้ามีอะไรแปลก ๆ มาให้ดูกันเรื่อย ๆ เลยนะครับ โดยในครั้งนี้ก็เป็นการแข่งขันระหว่าง Ferrari กับ Volvo … ฟังดูธรรมดาล่ะสิครับ แต่ที่ไม่ธรรมนั่นก็คือ Ferrari นั้นคือ Ferrari F360 Spider แต่ว่า Volvo นี่ล่ะครับ คือ Volvo Truck !!! ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ก็คงเดากันไว้แล้ว ว่ารถบรรทุกน่ะหรือ จะสู้รถสปอร์ตระดับ Super Car ไปได้ อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจก่อนชมคลิปนี้นะครับ

Ferrari F360 Spider คันนี้นั้น ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาดความจุกระบอกสูบ 3.6 ลิตร แต่เจ้า Volvo Truck คันที่มีชื่อว่า Mean Green คันนี้ก็ไม่ธรรมดาล่ะครับ เพราะเครื่องยนต์ที่ใช้นั้นมีขนาดใหญ่โตถึง 16 ลิตร Twin Turbo อีกต่างหาก แรงม้าที่ได้จึงมีมากถึง 1,900 ตัว !!! ยังครับ ยังไม่หมด เจ้า Mean Green คันนี้ยังพ่วงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 200 แรงม้าเข้ามาอีกด้วย

ส่วนผลการแข่งขันน่ะเหรอครับ… ชมคลิปกันดูได้เลย



เปิดตัวแล้วกับ... Ferrari FF 4 ที่นั่ง

กลับมาอีกครั้งกับข่าวสารวงการรถสปอร์ต ซึ่งคราวนี้เราจะมานำเสนอรถสปอร์ตสุดหรูจากค่าย Ferrari กันบ้างครับ
ซึ่งล่าสุดทาง Thaicarlover.com ได้ข่าวมาว่า

บริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ (Cavallino Motors Co., Ltd) ผู้นำเข้าสปอร์ตหรูสัญชาติอิตาลี เฟอร์รารี่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ได้เปิดตัวรถยนต์ Ferrari FF ตัวถังท้ายลาด เครื่องยนต์ V12 บล็อคใหม่ล่าสุด พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ 4RM ณ โชว์รูม คาวาลลิโน มอเตอร์ มั่นใจปีนี้ยอดขายโตกว่าปีก่อนทุกรุ่น

Ferrari FF

Ferrari FF

คุณเฉลิม อยู่วิทยา ประธานบริษัท คาวาลลิโน มอเตอร์ จำกัด กล่าวว่า “ผลงานที่ผ่านมา เป็นเครื่องพิสูจน์ความตั้งใจจริงของทีมงานทุกคนได้เป็นอย่างดี เราได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของเฟอร์รารี่ทุกท่าน รวมทั้งผู้ที่มีความหลงใหลในแบรนด์เฟอร์รารี่ พิสูจน์ได้จากจำนวนรถยนต์ที่เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์เซอร์วิสอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยอดจองเฟอร์รารี่ทั้ง 2 รุ่น คือรุ่น Ferrari California และ Ferrari 458 Italia ที่เรามีคิวส่งมอบรถยาวไปถึงต้นปี 2555″

ด้านหลัง Ferrari FF

ด้านหลัง Ferrari FF

“สำหรับผม ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในนามคาวาลลิโน มอเตอร์ ซึ่งความสำเร็จนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้า ที่มีต่อบริษัท ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณภาพในการให้บริการ การสร้างความประทับใจ ความหลากหลายในผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ซึ่งรวมถึงเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ที่เราเปิดตัวในวันนี้ด้วย เรายังพร้อมให้ความมั่นใจต่อทุกท่าน ในการรักษาภาพลักษณ์ และการบริการที่ได้มาตรฐานของเฟอร์รารี่อย่างแท้จริงตลอดไป”

ภายใน Ferrari FF

ภายใน Ferrari FF

รหัส FF หมายถึง ‘Ferrari Four’ นั่นคือระบบเคลื่อนสี่ล้อ 4RM และมี 4 ที่นั่ง ออกแบบตามคอนเซ็ปต์ของรถสปอร์ต GT โดยหลังจากเปิดตัว Ferrari 458 Italia ไปเมื่อต้นปี 2553 และได้รับการตอบรับอย่างดีจากกลุ่มผู้ใช้รถซูเปอร์คาร์ในประเทศไทย คาวาลลิโน มอเตอร์ จึงตอกย้ำความสำเร็จ ย้ำภาพลักษณ์ความเป็นหนึ่งในตลาดรถซูเปอร์คาร์ด้วยการเปิดตัว เฟอร์รารี่ เอฟเอฟ อย่างต่อเนื่องทันที โดยผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ด้านหน้า Ferrari FF

ด้านหน้า Ferrari FF

สำหรับ ราคา เฟอร์รารี่ เอฟเอฟ จะเริ่มต้นที่ 725,000 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 31,175,000 บาท โดยมีประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมการดูแลหลังการขายด้วยเครื่องมือพิเศษที่ส่งตรงจากโรงงานโดยเฉพาะ สำหรับตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการเท่านั้น

สำหรับแฟนๆ Ferrari FF ในบ้านเรา ที่อาจจะหวังในส่วนของโปรโมชั่นเด่นๆ อาจจะต้องอดใจรอไปถึงงาน Motor Expo 2011 (มอเตอร์เอ็กซ์โปร 2011 หรือ 2554) ที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ครับ

อย่าพลาดติดตามอัลบั้มรูปรถยนต์เด่น พริตตี้น่ารักๆ รวมถึงความเคลื่อนไหวในวงการรถยนต์ทั้งไทย และต่างประเทศได้ใหม่กับ Thaicarlover.com ครับ

Citroen tubik concept ..รถตู้แห่งอนาคตเพื่อการเที่ยวแบบจัดเต็ม

บ้านเราถ้าพูดถึงรถยนต์อย่างรถตู้แล้ว เราคงจะนึกถึงภาพรถที่พยายามอัพจำนวนผู้โดยสารพกไปให้มากคนได้ที่สุดด้วยเหตุที่บ้านเรานั้น รถตู้ถูกนำมาใช้เพื่อเชิงพาณิชย์มากกว่าส่วนตัว ทว่าก็ต้องยอมรับว่ารถตู้นั้นมีต้นไอเดียมากจากรถอเนกประสงค์ที่ค่ายรถยนต์ฝรั่งเศสขอลองคิดแนวทางแห่งโลกอนาคต

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาโลกไซเบอร์นั้นต่างตกตะลึงกับ Citroen Tubik Concept แนวไอเดียรถยนต์โดยสารใหม่ที่ล่าสุดจากค่ายรถยนต์แดนน้ำหอมที่กำลังจะจำเจ้าต้นแบบคันนี้ไปเปิดตัวกันในงานที่ Frankfurt auto show ที่จะเริ่มขึ้นในช่วงกลางเดือนที่จะถึงนี้

Citroen tubik concept

อย่างไรก็ดี Citroen ไม่ได้มีการเปิดเผยรถต้นแบบคันใหม่นี้มากมายอะไรนัก แต่รถ Tubik Concept ก็เป็นหนึ่งในรถที่อยู่ในโครงการของ Multicity project ซึ่งโครงการดังกล่าวได้สำประชาชนผ่านทางออนไลน์ ในการนำเอาแนวคิดทั้งจากทางเครื่องบิน เรือ รถไฟมาไว้ในรถรุ่นใหม่ เพื่อให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้จากรายละเอียดที่ได้มาจากภาพ เราพบว่า Tubik เน้นการใช้งานที่ไม่เหมือนใคร ด้วยประตูรถที่สามารถเปิดได้แบบปีกนกนางนวล มาพร้อมภายในห้องโดยสารที่เต็มเปี่ยมด้วยความสะดวกสบาย และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการมากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งรายละเอียดด้านอื่นๆคงต้องติดตามต่อไป

Citroen tubik concept

Sanook! Auto Comment >> ต้องยอมรับว่ามีข้อมุลน้อยมากสำหรับ Tubik Concept อีกหนึ่งต้นแบบที่เตรียมอวดโฉมที่งานที่ Frankfurt auto show 2011 ทว่า มันก็น่าสนใจ เพราะนี่อาจจะหมายถึง MPV รุ่นใหม่ในอนาคตก็ได้

Honda Brio ท้าพิสูจน์ความประหยัด ทะลุ 33.55กม./ลิตร

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จํากัด จัดกิจกรรม Honda Brio Eco Challenge ท้าพิสูจน์ความประหยัดรถยนต์อีโคคาร์สายพันธุ์สปอร์ต ขุมพลัง i-VTEC 1,200 ซีซี 4 สูบ 90แรงม้า ซึ่งเป็นการโดยสื่อมวลชนกว่า 40 ชีวิต แบบการใช้งานจริงกับน้ำมันหนึ่งถังบนเส้นทาง กรุงเทพ-สุราษฎร์ธานี มีระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 25-26 สิงหาคมที่ผ่านมา

งานนี้จัดขึ้นกันตั้งแต่เช้าตรู่ ณ โชว์รูมฮอนด้า พระราม 2 โดยสื่อมวลชนเริ่มทยอยกันมาลงทะเบียน ตั้งแต่เวลา 5 นาฬิกา พร้อมทำการชั่งน้ำหนักผู้ขับ ผู้โดยสารพร้อมสัมภาระ โดยมี คุณอรนุช พฤกษ์วัฒนานนท์ ผู้จัดการส่วนงานการตลาด และคุณเรวดี รักปทุม ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ กล่าวต้อนรับ และอธิบายกฎกติกาการแข่งขันในครั้งนี้ พร้อมการจับสลากเลือกรถยนต์ที่ใช้ในการแข่งขัน โดยหมายเลข 1-15 เป็นระบบเกียร์อัตโนมัติ ซีวีที ส่วนหมายเลข 16-20 จะเป็นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ

Honda Brio Eco Challenge

ส่วนข้อบังคับคือ ต้องขับในสภาวะการใช้งานจริง เปิดแอร์เบอร์ 2 โดยปรับระดับความเย็นไว้ที่กึ่งกลาง ความดันลมยางตามมาตรฐานใช้งานปกติ ใช้ความเร็วเฉลี่ยต้องไม่ต่ำกว่า 60กิโลเมตร/ชั่วโมง และใช้เวลาถึงจุดสิ้นสุดการแข่งขันไม่เกิน 12 ชั่วโมง โดยใช้ปริมาณการใช้น้ำมันเฉลี่ยจากมาตรวัดบนเรือนไมล์เป็นข้อมูลในการตัดสิ้นอัตราสิ้นเปลืองครับ

เริ่มต้นการแข่งขัน รถแต่ละทีมทยอยออกเดินทางพร้อมน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 เต็มถัง ตั้งแต่เวลา 6.08 นาฬิกา ทิ้งระยะห่างระหว่างคันด้วยเวลา 1 นาที ช่วงแรกทุกทีมตั้งใจใช้ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 กม./ชม.และประคองรอบเครื่องแบบต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 60 กม./ชม. ซึ่งเป็นกฎบังคับจากทางฮอนด้า จนถึงจุดเช็คพอยท์ที่ 1 บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ถนนบายพาสเมืองหัวหินระยะทางรวม 183 กม.ใช้เวลาเฉลี่ย 3 ชั่วโมง โดยผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 11 รุ่น เกียร์อัตโนมัติ ซีวีที สามารถทำสถิติได้สูงสุด 35.5 กม./ลิตร

Honda Brio Eco Challenge

ต่อด้วยเช็คพอยท์ 2 ซึ่งมีจุดหมายที่ร้านอาหารคุณสาหร่าย จ.ชุมพร ด้วยระยะทาง 248 กิโลเมตร ช่วงนี้เริ่มมีตัวแปรที่มากขึ้น ทั้งระยะทางที่มากขึ้น และสภาพถนนที่เป็นเนินเขา ทำให้ตัวอัตราสิ้นเปลืองต่างลดลงไปตามๆกัน โดยอันดับที่ 1 ยังคงอยู่กับรถหมายเลข 11 ด้วยอัตราเฉลี่ยการใช้น้ำมัน 34.00 กม./ลิตร ด้วยเวลา 4 ชม. 8 นาที

หลังจากแวะทานอาหารด้วยเวลาจำกัด ช่วงเวลาคล้อยบ่ายก็มุ่งหน้าต่อไปยังเช็คพอยท์ที่ 3 ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท. ก่อนถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานีเล็กน้อย ด้วยระยะทาง 161 กิโลเมตร เมื่อดูจากกำหนดการแล้วผู้เข้าแข่งขันเกือบทุกคันใช้ระยะเวลาเกินกว่าที่กำหนดไปอยู่พอสมควร ทำให้ในช่วงนี้ต้องทำความเร็วก็สูงขึ้นอีกสักเล็กน้อย เพื่อรักษาเวลาให้ได้ตามที่กำหนด สำหรับในช่วงนี้ ตัวเลขความประหยัดสูงสุดสามารถทำได้ที่ 33.30 กม./ลิตร ด้วยเวลาเฉลี่ย 2 ชั่วโมง 30 นาที

เช็คพอยท์สุดท้ายก่อนที่จุดสิ้นสุดการแข่งขัน เมื่อรวมเวลาทั้งหมดทุกทีมใช้เวลาไปแล้วกว่า 9 ชั่วโมง 30 นาที เหลือระยะทางอีก 121 กิโลเมตร ที่ท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ อำเภอดอนสัก เมื่อลองคำนวนดูจะมีเวลาเหลืออยู่เพียง 2 ชั่วโมงเศษ ประกอบกับทางในช่วงนี้เริ่มเป็นเนินเขา และทางโค้งมากขึ้น ทั้งยังมีฝนโปรยปรายลงมาตลอดช่วง ทำให้หลายทีมต้องปรับแผนการกันครั้งใหญ่

ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับหลายทีมจึงหันมาแข่งกับเวลาแทน เพราะหากจะเน้นความประหยัดกันต่ออาจต้องใช้เวลาเกินกว่าที่กำหนด ทั้งยังอาจจะไม่ทันเรือเฟอร์รี่เที่ยวสุดท้ายอีกด้วย

Honda Brio Eco Challenge

จากการสอบถามผู้เข้าแข่งขันเกือบทุกคันหันมาใช้สมรรถนะสูงสุดของ ฮอนด้า บรีโอ้ ต่างกระแทกคันเร่งกันอย่างสุดเหวี่ยงเพื่อให้ทันเวลาที่เหลือ ด้วยความเร็วสูงสุดตลอดช่วงที่สามารถทำได้ เรียกว่ามีเท่าไหร่ก็ใส่กันแบบไม่ยั้ง จนไปสิ้นสุดการแข่งขันที่ท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ ด้วยระยะทางเฉลี่ย 713 กิโลเมตร ภายในเวลา 12 ชั่วโมงตามกำหนด โดยน้ำมันหนึ่งถังที่เดิมมาจากกรุงเทพยังเหลืออีกเกือบครึ่ง

และแล้วผู้เข้าแข่งขันทั้ง 20 ทีม ก็มาถึงยังจุดสิ้นสุดการแข่งขันที่ท่าเรือซีทรานเฟอร์รี่ เพื่อข้ามไปเกาะสมุย บางคันฉิวเฉียดกับเวลา ส่วนบางคันที่ตั้งใจปั้นตัวเลขก็จนลืมดูนาฬิกา มาถึงช้ากว่าที่กำหนด แม้อัตราสิ้นเปลืองจะทำได้ประหยัดขั้นเทพสักแค่ไหน ก็ต้องตกรอบไปโดยปริยาย ซึ่งต่อจากนี้เราต้องข้ามฝั่งไปยังเกาะสมุย โดยเรือเฟอร์รี่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้ ท่ามกลางสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ทำเอาสื่อมวลชน และทีมประชาสัมพันธ์ ฮอนด้าออโตโมบิล ต่างเมาเรือไปตามๆกัน

รุ่นเกียร์ธรรมดาจะเสียเปรียบเกียร์ CVT อยู่พอสมควร เพราะที่ความเร็วเท่ากัน เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะจะใช้รอบเครื่องยนต์สูงกว่า ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. เกียร์ CVT ใช้รอบเครื่องยนต์ประมาณ 1,200 รอบ/นาที ถ้าเป็นเกียร์ธรรมดารอบเครื่องยนต์จะอยู่แถว 1,800 รอบ/นาที จึงฟันธงได้เลยว่า CVT ประหยัดกว่าเกียร์ธรรมดาแน่นอน ซึ่งจะเห็นผลความประหยัดในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ เพราะเกือบทุกทีมได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทะลุ 30 กม./ลิตร ส่วนรุ่นเกียร์ธรรมดาจะได้ค่าเฉลี่ยเกือบๆ 29 กม./ลิตร

Honda Brio Eco Challenge

ด้วยเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เฟอร์รี่ลำโตก็มาเทียบฝั่งยังท่าเรือหน้าทอน ขบวบฮอนด้า บริโอ รวมทั้งรถติดตามกว่า 30 คัน ก็ทยอยกันออกตั้งขบวนท่าเทียบเรือ โดยมีตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮอนด้า เกาะสมุย มารอให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น จากนั้นขบวนจึงมุ่งหน้าสู่ โรงแรมเซ็นทารา วิลล่า สมุย ซึ่งเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้ และที่สำคัญยังเป็นที่ประกาศผลการแข่งขันขับประหยัดน้ำมันกับ ฮอนด้า บริโอ้ ในค่ำคืนนี้ด้วยเช่นกัน

และในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่ได้อันดับที่ 1 ในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ซีวีที ได้แก่รถหมายเลข 11 ซึ่งสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้สูงสุด 33.55 กิโลเมตร/ลิตร ในรุ่นเกียร์ธรรมดาได้แก่หมายเลข 18 ด้วยอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสูงสุด 29.68 กิโลเมตร/ลิตร ส่วนทีมงาน Worldwheelsweb ที่จับมือกับพันธมิตรจากหนังสือพิมพ์บ้านเมือง ร่วมกันคว้ารางวัลรองชนะเลิศมาได้อย่างเต็มภาคภูมิ ด้วยอัตราสิ้นเพลิงเชื้อเพลิงเฉลี่ย 28.60 ในรุ่นเกียร์ธรรมดา แม้จะแข่งขันกันเพียง 5 คันก็ตาม

Honda Brio Eco Challenge

การทดสอบครั้งนี้ไม่ได้ปั้นตัวเลขกันตลอดระยะทาง เนื่องจากมีเวลาเป็นตัวกำหนดต้องคุมให้อยู่ภายใน 12 ชั่วโมง ช่วงแรกจึงเป็นการขับแบบปั้นตัวเลขให้ประหยัดที่สุด แต่ในช่วงสุดท้ายเกือบทุกทีมโดนเวลาบีบคั้นให้ต้องทำความเร็ว เพื่อให้เข้าจุดหมายให้ทันเวลา นาทีนั้นความประหยัดจึงถูกลืม และหันมาใช้ความเร็วเต็มสมรรถนะกันเป็นส่วนใหญ่

อย่างไรเสีย...ก็ไม่ได้ตะบี้ตะบันกระแทกคันเร่งกันอย่างเดียว แม้จะใช้ความเร็วสูง แต่ก็ต้องควบคู่ไปกับความประหยัด พูดง่ายๆ คือจะแรงทั้งทีต้องคุ้มกับตัวเลขน้ำมันที่เสียไป เทคนิคต่างๆ จึงถูกนำมาใช้

การแข่งขันครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นการแข่งขันในรูปแบบการใช้งานจริงโดยสมบูรณ์แท้จริง ทั้งการขับแบบประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และการใช้สมรรถนะสูงสุดในสถานการณ์เร่งรีบ ถือได้ว่าการทดสอบครั้งนี้ได้ทั้ง 2 อารมณ์ ทั้งซิ่ง ทั้งประหยัด แต่ตัวเลขที่ออกมากลับดีเกินคาดที่33.55 กิโลเมตร/ลิตร ด้วยระยะทาง 713 กิโลเมตร และที่สำคัญน้ำมันในถังยังเหลืออีกเพียบ


ขอขอบคุณ : บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จํากัด


เรื่อง : ธัชนนท์ ตาปนานนท์

ภาพ : บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จํากัด

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม