มาเที่ยววัดร่องขุนกัน

วัดร่องขุ่น (Wat Rong Khun)



เมื่อเราไปถึงเชียงราย จังหวัดเหนือสุดในสยาม เราก็คงคิดถึงธรรมชาติบนดอยที่สวยงาม อย่างเช่น แม่ฟ้าหลวง ดอยตุง และวัฒนธรรมอันงดงาม แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เราจะไม่นึกถึงไม่ได้ นั่นคือ วัดร่องขุน โดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์

ดังนั้นวันนี้ผมขอพาทุกคนไปชมความงดงามของวัดร่องขุนพร้อมทำความรู้จักกับวัดนี้กันครับ....



วัดร่องขุ่น

วัดร่องขุ่น (Wat Rong Khun) ออกแบบและก่อสร้างโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งปรารถนาจะสร้างวัดให้เหมือนเมืองสวรรค์ที่มนุษย์สัมผัสได้ เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2540 จากเดิมมีเนื้อที่3 ไร่ ได้ซื้อที่ดินเพิ่มและมีผู้บริจาคคือคุณวันชัย วิชญชาคร จนปัจจุบันมีเนื้อที่9 ไร่ และมีพระกิตติพงษ์ กัลยาโณ รักษาการเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน

อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างวัดมาจาก 3 สิ่งต่อไปนี้คือ

ชาติ : ด้วยความรักบ้านเมือง รักงานศิลป์ จึงหวังสร้างงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่ไว้เป็นสมบัติของแผ่นดิน


ศาสนา : ธรรมะได้เปลี่ยนชีวิตของอาจารย์เฉลิมชัยจากจิตที่ร้อนกลายเป็นเย็น จึงขออุทิศตนให้แก่พระพุทธศาสนา


พระมหากษัตริย์ : จากการเข้าเฝ้าฯ ถวายงานพระองค์ท่านหลายครั้ง ทำให้อาจารย์เฉลิมชัยรักพระองค์ท่านมาก จากการพบเห็นพระอัจฉริยะภาพทางศิลปะและพระเมตตาของพระองค์ท่าน จนบังเกิดความตื้นตันและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงปรารถนาที่จะสร้างงานพุทธศิลป์ถวายเป็นงานศิลปะประจำรัชกาลพระองค์ท่าน

วัดร่องขุ่น

(ป้ายก่อนเข้าวัด พร้อมมีขวดเหล้ายี่ห้อหนึ่ง...)

ที่ตั้ง


วัดร่องขุ่น อยู่ในท้องที่ตำบลป่าอ้อดอนชัย อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย เป็นวัดบ้านเกิดของอาจารย์ เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ วัดร่องขุ่นอยู่ก่อนตัวเมืองเชียงรายประมาณ13 กิโลเมตร ตรงสามแยกไฟแดงทางเข้าน้ำตกขุนกรณ์ จะเป็นที่ตั้งของวัดร่องขุ่น ซึ่งห่างถนนใหญ่เพียง100 เมตร เท่านั้น

วัดร่องขุ่น

(ทางขึ้นไปยังอุโบสถ ซึ่งขึ้นแล้วห้ามถอยหลังกลับมา เพราะจะกลับมาตกนรกอีกครั้ง)

วัดร่องขุ่น

(สภาพขุมนรกที่เต็มไปด้วยบาป สังเกตเห็นเล็บสีแดงไหมครับ...)

ความหมายของอุโบสถ


สีขาว : พระบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้า

สะพาน : การเดินข้ามจากวัฎสงสารสู่พุทธภูมิ

เขี้ยว หรือ ปากพญามาร : กิเลสในใจ

สันของสะพาน : มีอสูรอมกัน ข้างละ 8 ตัว 2 ข้าง รวมกันแทนอุปกิเลส 16

กึ่งกลางของสะพาน : เขาพระสุเมรุดอกบัวทิพย์ : มี 4 ดอกใหญ่ตรงทางขึ้นด้านข้างอุโบสถแทนซุ้มพระอริยเจ้า 4 พระองค์ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

บันไดทางขึ้น : มี 3 ขั้นแทน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

วัดร่องขุ่น

(ทางขึ้นไปยังอุโบสถ โดยผ่านนรกขนาบข้าง)

การเดินทางก็ไม่ยากครับ....

ถ้ามาจากกรุงเทพฯ ใช้ถนนสายเชียงราย– กรุงเทพฯ ผ่าน จ.พะเยา ผ่าน อ.แม่ใจ จ.พะเยา เข้า อ.พาน จ.เชียงราย ขับรถมุ่งหน้าไปทาง จ.เชียงรายเรื่อยๆ พอออกจากตัว อ.พาน จะข้ามสพานแม่ลาว (แม่น้ำลาว) ขับรถไปซักพักจะถึงแยกปากทางแม่สรวย (แยกไป อ.แม่สรวย และไป จ.เชียงใหม่) ขับรถต่อไปอีกซักประมาณ10 ก.ม ก่อนจะถึงแยกขุนกรณ์ (ทางไปน้ำตกขุนกรณ์) ประมาณ200 เมตร ถ้ามองดูทางด้านซ้ายมือ จะเห็นตัววัดสีขาวสะดุดตายิ่งนัก เมื่อถึงทางแยกให้เลี้ยวซ้ายไปทางน้ำตกขุนกรณ์ วัดร่องขุ่นจะอยู่เข้าไปประมาณ100 เมตร ซึ่งวัดร่องขุ่นจะอยู่ก่อนถึงตัวเมืองเชียงราย13 ก.ม ตรงหลัก ก.ม ที่816 ถนนพลหลโยธิน (หมายเลข1/A2 )

ถ้ามาจาก อ.แม่สาย มาจากสนามบินนานาชาติเชียงราย หรือตัวเมืองเชียงราย ให้มาทางทิศใต้ ทางไป อ.พาน จ.เชียงราย ทางไป จ.พะเยา เมื่อออกจากตัวเมืองเชียงราย จะผ่านแยกไฟแดงสถานีขนส่งแห่งที่2 ขับตรงมาเรื่อยๆ จนถึงไฟแดง แยกขวา แยกขุนกรณ์ (ทางไปน้ำตกขุนกรณ์) ให้เลี้ยวขวาเข้ามา ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงรายไม่กี่นาทีก็จะถึงวัดร่องขุ่น

ถ้ามาจาก จ.เชียงใหม่ ให้มาทาง อ.ดอยสะเก็ด เข้า อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย มาเรื่อยๆ ผ่าน อ.แม่สรวย มาจนถึง สามแยกปากทางแม่สรวยให้เลี้ยวซ้ายไปทาง จ.เชียงราย (เลี้ยวขวาไป อ.พาน, ไป จ.พะเยา) จากปากทางแม่สรวยขับไปทางตัวเมืองเชียงรายประมาณ10 ก.ม จนถึงแยกขุนกรณ์ (ทางไปน้ำตกขุนกรณ์) ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป

วัดร่องขุ่น

(บริเวณรอบวัด)

วัดร่องขุ่น

(ส่วนบริเวณห้องน้ำ ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่รู้ก็จะไหว้ก่อน...)

วัดร่องขุ่น


วัดร่องขุ่นเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา6.30 – 18.00 น.

ห้องแสดงภาพ : เปิดให้เข้าชมวันจันทร์– ศุกร์ เวลา8.00 – 17.30 น.
วันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา8.00 – 18.00 น.

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่...
สำนักงานท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย โทร.053-716519
ศูนย์บริหาร จัดการ การท่องเที่ยว จ.เชียงราย โทร.053-715690
วัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมือง จ.เชียงราย57000 โทร.053-673579

หรือ www.วัดร่องขุ่น.com

Fiat Punto 2012 ซับคอมแพคท์สไตล์ยุโรป

สถานการณ์รถยนต์ขนาดซับคอมแพคท์ในยุโรปอาจดูเหมือน ซาความร้อนแรงไปบ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ Fiat ผู้ผลิตรถยนต์ สัญชาติอิตาลีนิ่งนอนใจแต่อย่างใด จึงเปิดตัวเวอร์ชั่นอัพเดทของรถยนต์รุ่นขายดีของตน 2012 Fiat Punto ออกมา

Fiat Punto 2012 ซับคอมแพคท์สไตล์ยุโรป รูปที่ 1

หลังจากเปลี่ยนชื่อจาก Punto เป็น Grande Punto ในปี 2005 เพื่อหวังยกระดับภาพลักษณ์ของ Punto ให้สูงขึ้น แต่กลับล้มเหลว จนเมื่อเปิดตัวรุ่นไมเนอร์เชนจ์ในปี 2009 ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Punto Evo แต่ก็ยังคงไม่ประสบความสำเร็จในด้านภาพลักษณ์เท่าไหร่

Fiat Punto 2012 ซับคอมแพคท์สไตล์ยุโรป รูปที่ 2

ล่าสุด Fiat เลือกการกลับมาสู่ชื่อดั้งเดิม Punto โดยไร้การขยายชื่อรุ่นแต่อย่างใด นอกจากการเปลี่ยนชื่อแล้ว ความเปลี่ยนแปลงด้านรูปลักษณ์ก็รวมไปถึงกันชนใหม่ ล้ออัลลอยลายใหม่ และสีภายนอกใหม่สามสี: Turquoise, Ruby Red และ Graphite Grey

Fiat Punto 2012 ซับคอมแพคท์สไตล์ยุโรป รูปที่ 3

ด้านรูปลักษณ์ภายใน มีการปรับผ้าตกแต่งเบาะนั่งใหม่ รวมถึงการจัดรุ่นตกแต่งใหม่ ในชื่อ Pop, Easy และ Lounge

ส่วนด้านงานวิศวกรรม มีการเพิ่มเครื่องยนต์ใหม่ 2 บล็อก ได้แก่ เครื่องยนต์เบนซิน 2 สูบ 0.9 ลิตร เทอร์โบ TwinAir สร้างกำลัง 85 แรงม้า และแรงบิด 145 นิวตัน-เมตร ในขณะที่อีกบล็อกหนึ่งคือเครื่องยนต์ เบนซิน 4 สูบเรียง 1.3 ลิตร Multijet พร้อมกำลัง 85 แรงม้าเช่นกัน แต่เพิ่มแรงบิดขึ้นเป็น 200 นิวตัน-เมตร

Fiat พร้อมส่ง Punto รุ่นปี 2012 ลงสู่สมรภูมิรถซับคอมแพคท์ในยุโรปต้นปีหน้า

ขอบคุณที่มาจากFiat Punto 2012 ซับคอมแพคท์สไตล์ยุโรป รูปที่ 4

ลือ! อีซูซุ ดีแม็กซ์รุ่นใหม่ เปิดตัว ก.ย.นี้

Isuzu D-Max 2012

Isuzu D-Max 2012

Isuzu D-Max 2012







เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก auto.sohu.com

หลังจากที่ค่ายรถโตโยต้าได้เผยโฉมรถกระบะรุ่นไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ และรถอเนกประสงค์โตโยต้าฟอร์จูนเนอร์ รูปลักษณ์ใหม่ไฉไลกว่าเดิม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แว่วมาว่า... ทางค่ายรถกระบะยอดนิยมอย่างอีซูซุ ก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน เพราะมีการคาดการณ์ว่าในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้ อาจจะมีการเปิดตัวรถอีซูซุ ดีแม็กซ์ โฉมใหม่ หรือ All New Isuzu D-Max 2012




รุ่นปี 2008



แหล่งข่าวจากเว็บไซต์ sohu.com ประเทศจีน ได้เผยภาพสเก็ตช์โมเดลของรถยนต์อีซูซุโฉมใหม่นี้ ซึ่งจากโมเดลใหม่นี้ก็แสดงให้เห็นว่า รถกระบะรุ่นใหม่มีความน่าสนใจมากขึ้น และโครงสร้างมีลักษณะคล้ายกับ เชฟโรเล็ท โคโลราโด (Chevrolet Colorado) แต่ออกแนวสปอร์ตมากกว่า ตั้งแต่กันชนหน้า ไฟหน้า กระจัง ที่มาพร้อม Over Fender เหมือนกับนิสสัน นาวาร่า (Nissan Navara) ทั้งแก้มข้างและกระบะท้าย นอกจากนี้ ในส่วนของรุ่นแค๊ปนั้น สามารถเปิดได้เหมือนกับรถของค่ายอื่น ๆ แล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพสเก็ตช์ของรถกระบะอีซูซุรุ่นใหม่ที่หลุดออกมา จะยังไม่มีการยืนยันอย่างแน่ชัดว่า รถกระบะรุ่นใหม่นี้จะใช้ชื่อ ดีแม็กซ์ เหมือนเดิม หรือว่าจะใช้ชื่อใหม่ รวมถึงที่รถรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาในบ้านเราจะมีทรวดทรงหน้าตาคล้ายกันหรือไม่ แต่อีกไม่นานเกินรอ พวกเราก็คงจะได้ยลโฉมรถรุ่นใหม่จากค่ายอีซูซุในมาช้านี้แล้วล่ะ

Yo-Auto concept รถรัสเซียกับประตูสุดเท่ห์

Yo-Concept

ค่ายผลิตรถยนต์จากประเทศรัสเซีย นามว่า Yo-Auto ได้เปิดตัวรถยนต์ต้นแบบสุดเท่ห์นามว่า Yo-Auto Concept มาให้ชมกันครับ โดยกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้นจะเป็นกลางเดือนนี้ ที่งาน 2011 Frankfurt Motor Show ครับ

โดยเจ้า Yo-Concept คันนี้นั้น ออกแบบได้พิเศษมาก ๆ สำหรับเรื่องประตู ในขณะที่ค่ายอื่น ๆ นั้นออกแบบประตูเป็นแบบที่ต้องเปิดออก แต่ Yo-Concept นั้นเป็นแบบบานเลื่อน !!! … ใช่ครับ แบบบานเลื่อน เหมือนอย่างประตูเหล็กตามตึกแถวบ้านเรานั่นล่ะครับ โดยข้อดีของมันก็คือเท่ห์ และประหยัดเนื้อที่ในการเข้าออกได้มากขึ้น แต่ข้อเสียก็คือ ความปลอดภัยน่ะสิครับ เนื่องจากมันจะมีคานป้องกันการกระแทกอยู่หรือไม่ ก็ไม่ทราบ

และรถยนต์คันนี้เป็นแบบคูเป้สองที่นั่ง ที่ออกแบบมาล้ำสมัย สมกับเป็นรถยนต์ Concept Car ล่ะครับ ซึ่ง Yo-Auto นั้นก็มีรถยนต์แบบ Hybrid ที่เปิดให้จองกันแบบ Pre-Orders กันไปแล้วสามรุ่นในปัจจุบัน (รถสปอร์ตคูเป้, แฮทแบค และรถกระบะ) โดยมีกำหนดการส่งมอบกันปี 2012 ที่จะถึงครับ



Audi เบิกฤกษ์ Frankfurt โชว์ 3 รุ่นใหม่ลงตลาด

ถ้าพูดถึงค่ายรถยนต์เจ้าสมรรถนะที่แตกต่างจากค่ายรถยนต์ตลาดยุโรปแล้ว Audi นับเป็นค่ายรถยนต์รายหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานพอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถรุ่นสปอร์ตที่มีดีกรีเร้าใจ และล่าสุดก็เผยไต๋ก่อนงาน Frankfurt มาอวดโฉมพร้อมกันกับ 3 รุ่นสปอร์ต

การกลับมาของรถยนต์ตระกูล S จากค่ายรถยนต์ Audi ถือเป็นการรุกคืบตลาดสปอร์ตหลังทำได้ดีในซุปเปอร์คาร์ชั้นนำของค่าย ที่ครั้งนี้จะมาพร้อมความเร้าใจยิ่งขึ้นในการขับขี่ที่จะมีรุ่นไหนบ้างไปชมกันเลบ

Audi S6

Audi S6 สปอร์ตชั้นนำกับความหรูหรา

บ้านเรา Audi อาจจะไม่ใช่รถยนต์ตลาดยอดนิยมอะไรมากมายนัก ถ้าเทียบกับแบรนด์ชั้นนำในตลาด แต่ถ้าพูดถึง S6 แล้วมันมาพร้อมความหรูหราตั้งแต่ห้องโดยสารที่จัดการหุ้มหนัง Nappa และ หนัง Alcantara ที่ตอบสนองความสปอร์ตด้วยพวงมาลัยหุ้มหนังจับมั่นกระชับเปลี่ยนเกียร์ง่ายด้วยระบบ Paddle Shift

จุดเด่นทางภายนอกนั้นอยู่ที่ล้อขอบ 19 นิ้ว จากโรงงาน แต่ก็ยังมีตัวเลือกให้ลูกค้าได้สัมผัสความสปอร์ตจากล้อ 19 นิ้วและ 20 ตามลำดับด้วย แต่ที่โดเด่นนั้นก้คงไม่พ้นเครื่องยนต์ ที่ถือป็นอะไรที่จะทำใหเคุณสนใจเจ้ารุ่น S6 คันนี้

Audi S6

จิตวิญญารความสปอร์ตถูกปิดผนึกด้วยเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร ควบระบบเทอร์โบชาร์จคู่ที่พร้อมตอบสนองด้วยพละกำลังมากถึง 418 แรงม้า พร้อมแรงบิด 550 นิวตันเมตรเรียกได้ตั้งแต่ 1400-5300 รอบต่อนาที จับคู่พร้อมระบบเกียร์ 7S- Tronics ให้อัตราเร่ง 0-100 ใน 4.8 วินาที และความเร็วปลายสามารไปได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยทีเดียว

ส่วนเรื่องความประหยัดนั้นใหญ่ขนาดนี้แต่ยังอยู่แถวๆ 9.7-9.8 ลิตร /100 กิโลเมตร ซึ่งส่วนหนึ่งต้องขอบคุณระบบ Stop-Start ที่ยังมาพร้อมระบบ Cylinder Management เพิ่มสมรรถนะให้เต็มพิกัดยามต้องการเท่านั้น แถมยังขับนิ้มสบายด้วยระบบ Air suspension ด้วย

Audi S7 สปอร์ตใหญที่ไม่ต่างจากน้องเล็ก

เราก้าวขึ้นมาดูรุ่นที่ใหญ่ขึ้นอีกนิดกับ Audi S7 ที่งานนี้ไม่ต่างจาก S6 มากมายนัก แต่เน้นทางด้านความหรูหราที่เหมือนเรียบเรียงมาจาก Audi A7 ที่มีขนาใกล้เคียงกับรุ่นใหญ่ แต่ถึงแม้จะใหญ่มากขึ้นทว่า รถรุ่นนี้ที่พกความหรูหรานั้นยังมาพร้อมขุมพลังรุ่นเดียวกับ S6

หัวใจ V8 4.0 ลิตรยังมาพร้อมความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีที่แตกต่างจากรุ่นธรรมดา ที่พลัง 419 แรงม้าและแรงบิด 550 นิวตันเมตร มาพร้อมเกียร์ 7S-Tronic สามารถตอบสนองได้ถึง 4.9 วินาทีไม่ต่างจากรถรุ่น S6 Avant เลยก็ว่าได้ โยเฉพาะช่วงล่าง Air Susupension ก็ยังยกมาใช้ทั้งหมดด้วย

Audi S7

ตวามแตกต่างที่สำคัญนั้นอยู่ที่ภายในห้องโดยสารที่ Audi S7 สามารถตอบโจทย์สำคัญได้มากกว่า โดยเฉพาะเรื่องความหรูหราความกว้างขวาง แต่ที่ต่างจริงๆนั้นอยู่ที่ ปุ่มสตาร์ทแบบกด และ แป้นเหยียบอลูมิเนียมที่ยังมีการตบแต่งจากไม้ชั้นดีสอดแทรกมาด้วย

Audi S8 ความหรูหราเต็มระดับกับสมรรถนะเหนือชั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นใน 2 น้องเล็กนั้นฟังดูก็น่าสนใจพอตัวแล้วแต่ Audi S8 ถือเป็นตัวจริงเสียงจริงในเรื่องความหรูและสมรรถนะที่นำเอารถคลาสใหญ่มาฝั่งดีเอ็นเอสปอร์ตให้เร้าใจได้เต็มพิกัด

ฟังดูอาจะไม่น่าเป็นไปได้แต่ขุมพลัง V8 4.0 ลิตร ตอบสนอง 520 แรงม้าจากโรงงาน พร้อมแรงบิด 650 นิวตันเมตร ถือเป้นอะไรที่ทำให้มันน่าสนใจ ยิ่งพ่วงมากับระบบเกียร์ 8 speed Triptronic ที่สามารถสั่งารได้ ตอบสนองฉับไว Audi S8 ก็ไม่ต่างอะไรจากรถสปอร์ตที่พร้อมทะยานด้วยอัตราเร่ง 0- 100 ใน 4.2 วินาที และความเร้วสูงสุดทำได้ที่250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

แม้เครื่องยนต์จะบล็อกใหญ่แต่ audi ยังเล็กเห็นถึงความต้องการในเรื่องความประหยัดน้ำมันที่ติดตั้งระบบ Cylinder On Demand มาพร้อมทำให้ประหยัดน้ำมันระดับ 10.2 ลิตร/100 ก.ม.

Audi S8

ด้านการตบแต่งนั้นรุ่น S8 มาพร้อมล้ออัลลอยขอบ 20 นิ้วจากโรงงานรัดด้วยยาง 265/45/R20 ตอบสนองความนิ่มนวลผ่านระบบ air suspension ที่ยังมาพร้อมทางเลือกกับล้ออัลลอยขอบ 21 นิ้ว

ส่วนในห้องโดยสารนั้นมาพร้อมเบาะนั่งแบบสปอร์ตปรับไฟฟ้าทุกทิศทาง ที่มีระบบช่วยจอดรถทำงานกับระบบกล้อง 4 ตัว ครอบคลุม 360 องศา เพิ่มความสะดวกการจอดรถคันดตได้ง่ายและฉับไวมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ Audi S6-S7 และ S8 จะเผยโฉมอย่างเป็นทางการในงาน frankfurt auto show 2011 ที่จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนนี้

spyshot Ford B-Max จับได้เต็มๆ ว่าที่อเนกประสงค์อนาคต

ถ้าใครยังจำได้ว่าเราเคยนำรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นเล็กลำใหม่ต้นไอเดียของค่ายรถยนต์อเมริกันมาให้ชมกันกับรถ Ford B-Max ที่มีความหลากหลายและมุ่งในแนวทางประหยัดและสมรรถนะการขับขี่ ที่แม้วันนี้รถรุ่นจะมีข่าวคราวเงียบๆไปตั้งแต่เมื่อต้นปีทว่าล่าสุด มันก็กำลังกลายเป็นจริง เมื่อนี่คือรถต้นแบบที่เริ่มออกวิ่งทดสอบเป็นครั้งแรก

Ford B-max

ภาพที่เห็นนี้เชื่อว่าเป็นภาพของรถ Ford B-MAX ที่จับได้เมื่อไม่นานมานี้ ที่เพิ่งได้ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ worldcarfans ซึ่งรถรุ่นนี้นับเป็นความหวังใหม่ของค่ายรถยนต์อเมริกาอย่าง Ford ที่ต้องการรุกคืบตลาดยานยนต์ยุโรปมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตอบสนองกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ในยุโรปนั้นต้องการทั้งสมรรถนะความประหยัดและการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆกันด้วย

Ford B-MAX นั้นมีจุดเด่นที่การไร้เสา B ช่วยเพิ่มพื้นที่ในห้องโดยสารและใต้ฝากระโปรงรถรุ่นนี้ยังมาพร้อมเครื่องยนต์ Ecoboost รุ่นใหม่ 3 สูบขนาด 1.0 ลิตร ที่ให้สมรรถนะที่ลงตัวในการขับขี่และประหยัดน้ำมันด้วย

Ford B-max

อย่างไรก็ดีการเผยตัวจริงของ Ford B-Max นั้นยังไม่มีข่าวคราวออกมาแต่อาจจะเป็นต้นปีหน้าในงานเจนนีวามอเตอร์โชว์ ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไป

ภาพจาก worldcarfans.com

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม