"พิพิธภัณฑ์ของปลอม"

"พิพิธภัณฑ์ของปลอม"

อันไหนดีนะ "เกรด A หรือ เกรด B ??" ไม่ใช่ผลการเรียน แต่เป็นผล "การเลียน" ให้เนียนเหมือนของแท้ ถ้าคุณแน่ อย่าแพ้ "ของปลอม" สมัยนี้จะซื้ออะไร ดูหน้า ดูหลัง ดูนอก ดูใน เปิดตำรากันกลางร้านก็ทำกันมาแล้ว แต่ก็ไม่แคล้วโดนหลอกอะนะ!

อย่างบ้านเรานี่ก็ติดอันดับประเทศที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษเรื่อง "การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา" น่าใจหายอยู่นะ เพราะ "ของก๊อป" เกลื่อนเมืองซะจนเกิดเป็น "พิพิธภัณฑ์ของปลอม" ว้าววว แบบว่าเสียดสีให้รู้สึก (จะสำนึกกันมั้ยนะ)

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

"พิพิธภัณฑ์สินค้าปลอมและสินค้าเลียนแบบ ติลลิกี แอนด์ กิบบินส์" หรือ "พิพิธภัณฑ์ของปลอม" สถานที่จัดแสดงสินค้าปลอมและสินค้าเลียนแบบไว้มากมายกว่า 500 ชิ้น (ได้มากจากการจับกุมบ้างและสินค้าบางอย่างได้มาจากลูกความ เพื่อเป็นหลักฐานในการประกอบการดำเนินคดี) พร้อมมีสินค้าของแท้ให้เปรียบเทียบกันเห็นๆ เรียกว่าเอาโจทก์กับจำเลยมาให้พิพากษากันตรงนั้นเลยนะ

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

เริ่มแรกสินค้าเลียนแบบที่รวบรวมได้มีไม่กี่ร้อยชิ้น จัดแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่เสื้อผ้า เครื่องหนัง เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเลคโทรนิคส์ และเครื่องสุขภัณฑ์ นานวันมันยิ่งเพิ่มแฮะ เผลอแป๊บเดียว รองเท้า นาฬิกา น้ำหอม ของใช้ภายในบ้าน เครื่องเสียง อะไหล่รถยนต์ เครื่องจักร เครื่องประดับ อาหาร ยา สุรา เคมีภัณฑ์ เครื่องเขียน ยกขบวนมากันให้ลึ่ม ทั้ง "ของก๊อป""เครื่องหมายการค้า" โดนละเมิดลิขสิทธิ์ไปราวๆ 2,000 ชิ้น จนสถานที่นี้ไม่เพียงพอให้ "ของปลอม" อยู่อาศัย จึงต้องหมุนเวียนกันนำมาแสดง เพื่อเป็นความรู้เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา และผลตามกฎหมายเกี่ยวกับการปลอมแปลงสินค้าอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

"น้ำท่วม" ทำให้เราแยกออกระหว่าง"จระเข้จริง" กับ "จระเข้ปลอม" อิอิ ล้อเล่น!

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

โลโก้ fakeเป็นตัว f กลับด้าน มีนัยแฝง ปลอมแล้วปลอมอีก

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

แปลงได้หลายร่าง ก็ปลอมได้หลายร่างเช่นกัน

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

แว่นตา กระเป๋า ก๊อปเกลื่อน!

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

แม้แต่ผ้าอนามัยยังไม่เว้น!

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

หนังสือก็โดน!

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

อันนี้ฮิต ติดตลาด "ก๊อป"

พิพิธภัณฑ์ของปลอม

ถึงเวลาแล้วที่แม่ (แม็กซ์) ต้องตามหาลูก (แม็กซ์) ที่แท้จริง เฮ้อออ

"ถึงเค้าหลอก แต่เต็มใจให้หลอก" ความรู้สึกลึกๆ ของผู้บริโภค ขอให้บอก "ของก๊อบ ราคาถูก" มีที่ไหน จะตามไปซื้อ "ยิ้มข้างนอก ช้ำใน" ความในใจของผู้ผลิต คิดสร้างสรรค์อย่างภาคภูมิใจ แต่พอมีคนขโมยไอเดียไป เหมือนหัวใจจะหยุดเต้น เฮ้ออออ! ของอย่างนี้ก็พูดยาก คงต้องมองกลับกัน "เอาใจเขา มาใส่ใจเรา" บ้าง แล้วล่ะ

------------------------------------------------------------------------------

"พิพิธภัณฑ์สินค้าปลอมและเลียน ของติลลิกี แอนด์ กิบบินส์"

ชั้น 26 อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ ถ.พระราม 3 ช่องนนทรี ยานาวา กรุงเทพฯ

เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-17.00 น.

และต้องโทรนัดล่วงหน้าเพื่อจัดเตรียมวิทยากร

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและโทรนัดล่วงหน้าที่ โทร. 0-2653-5555

Audi A1 Sportback ..ฝีเท้าจัดจ้านกับเจ้าตัวเล็ก 5 ประตู

เมื่อพูดถึงค่ายรถยนต์จากแดนยุโรปแล้ว ชื่อของ Audi ถือ ว่าเป็นค่ายนรถยนต์รายหนึ่งที่ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อค่ายรถยนต์รายนี้มาพร้อมกับสมรรถนะการขับขี่ที่น่าประทับใจ และเมื่อเร็วๆนี้ก็ส่งเจ้าซิตี้คาร์สุดสปอร์ต Audi A1 ลงมาทำตลาดอย่างเป็นทางการ แต่มันถูกถามหาว่าท้ายที่สุดจะมีเวอร์ชั่น 5 ประตูหรือไม่

ในงาน LA Auto Snow ที่กำลังมีขึ้นที่มหานครลอสแองเจิ้ลเลสนั้น ค่าย Audi ได้ทำเซอร์ไพร์สด้วยการเปิดตัว เวอร์ชั่น 5 ประตู ของAudi A1 ภายใต้ชื่อ Sport back ที่ยังคงความสง่างามและทรงสมรรถนะในแบบฉบับรถเล็กคนเมือง ที่พร้อมทะยานไปบนถนน

Audi A1 Sportback

เรือนร่างการออกแบบนั้น โดยรวมแล้ว Audi A1 Sportback ไม่ได้ต่างอะไรจากพี่น้องของมันในแบบ 3 ประตู ที่เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้มากมายนัก แต่มิติตัวถังนั้นถูกขยายจากเดิมมาให้มีความสง่างามมาขึ้นด้วยความยาว 3.95 ม. และขยายนฐานล้อให้ตอบสนองมากยิ่งขึ้น 2.47 ม. และ Audi ยังอออกแบบห้องโดยสารสารให้มีมิติที่กว้างขึ้นทั้งทางด้านความยาวและความสูง ถึง 6 ม.ม.

คว้างกว้างขวางพอดีๆของ Audi A1 Sportback ตอบโจทย์ ด้วยห้องโดยสารขนาด 4 ที่นั่ง และสามารถปรับเป็น 5 ที่นั่งได้ตามต้องโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และยังให้ความรู้สึกสบายในการโดยสารยิ่งขึ้น ที่เพิ่มทุกมิติในการโดยสารไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เหนือศีรษะ,พื้นที่วางขา หรือช่วงตัว ทั้งหมดถูกปรับให้ลงตัว สามารถตอบสนองได้และดีกว่า 3 ประตูถึง 0.39 นิ้ว แถมเรื่องการจุสัมภาระต่างๆก็ทำได้ดีขึ้นจาก 270 ลิตร ใน 3 ประตู ก้สามารถจุได้ถึง 920 ลิตร ในรุ่นนี้ ที่เบาะตอนหลังอรรถประโยชน์ปรับพับได้ตามสมัยนิยม และสามารถแยกพับได้หากคุณต้องการ

ใต้ฝากระโปรง Audi A1 Sportback พกขุมพลังทั้งเบนซินและดีเซลที่เน้นให้ความลงตัวทั้งทางด้านนสมรรถนะการขับ ขี่และการประหยัดน้ำมัน โดยในกลุ่มเครื่องยนต์เบนซินนั้นเริ่มต้นที่เครื่องยนต์ 1.2 ลิตร TFSi 86 แรงม้า ประหยัดในระดับ 20 กิโลเมตรต่อลิตร แต่ถ้ายังไม่สะใจก็ขยับไปเล่นเครื่องยนต์ 1.4ลิตร TFSi ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า และยังมีเวอร์ชั่นกล้ามโต 185 แรงม้า ที่สปอร์ตไม่อพ้ใครด้วยสถิติอัตราเร่ง 0-100 ก.ม./ช.ม. สะใจใน 7 วินาที ความเร็วปลาย 227 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าคุณใจถึงพอ

Audi A1 Sportback

ด้านฝั่งเครื่องยนต์ดีเซล มีให้เลือกมาถึง 2 ขนาด 3 รุ่นที่เริ่มต้นกับขุมพลังดีเซล 1.6 ลิตรTDIs มี 90 และ 105 แรงม้าสั่งได้ตามใจชอบแต่ทั้ง 2 นั้นประหยัดเท่ากันที่เฉลี่ย 27 กิโลเมตรต่อลิตร และขยับขึ้นมานันเป็นรุ่น 2.0 ลิตร TDIs ให้กำลัง 143 แรงม้า แต่สปอร์ตไม่แพ้ตัวท็อปเบนซิน 0-100 เพียง 8.5 วินาที และให้ความเร็วปลายที่เท่ากัน

ทั้งนี้ Audi A1 Sportback จะเริ่มวางจำหน่ายในช่วงปีหน้า โดยพร้อมกันนี้ Audi ได้เปิดเผยราคาออกมาบ้าง โดยเบนซิน 1.2 TFSI จะวางขายที่ราคา 16950 ยูโร และรุ่น 1.6 ดีเซลTDIs จะวางจำหน่ายที่ 19050 ยูโรเป็นค่าตัวของเจ้าซิตี้คาร์ตัวมันส์คันนี้



2012 New! Honda CR-V ให้ดูอีกทีสดจาก LA

เปืดตัวกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ New! Honda CR-V รุ่น ใหม่ที่ยังอาจจะไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาอย่างเป็นทางการ แต่รถรุ่นนี้ก็ได้รับความสนใจและกระแสตอบรับที่ดีไม่น้อยกว่ารถรุ่นอื่นๆของ Honda ที่งามสง่าและลงตัว


อันที่จริงแล้ว เราปฏิเสธไม่ได้ว่า New! Honda CR-V ใหม่นั้นคงจะเข้ามาวางจำหน่ายในบ้านเราอย่างแน่นอน แม้จะยังไม่สามารถบอกเวลาที่ชัดเจนได้อย่างเป็นทางการ แต่สาวก Honda หลายคนคงจะเฝ้ารอที่จะพบเจ้าอเนกประสงค์คันใหม่นี้ ที่มีการเปิดตัวๆไปแล้วที่ LA Auto Show

หลังจากชมภาพมาหลายต่อหลายชุดแต่ล่าสุดเราก็ได้ภาพชุดใหม่ที่ส่งตรงมาจาก งาน LA Auto show โดยในภาพนี้คือรถคันโฉมจริงบนเวทีของ New! Honda CR-V 2012 ที่มีการปรับโฉมใหม่อย่างจริงๆจังๆ และจะมาพร้อมเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร i-VTEC ให้กำลังเพิ่มขึ้นจากเดิมมาหยุดที่ 185 แรงม้า แต่ประหยัดโดยเฉลี่ยที่ 13 กิโลเมตรต่อลิตร ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ซึ่งนอกจากภาพแล้วเรายังมีวีดีโอที่ประสบการณ์ขับขี่จาก Blog ต่างมาฝากด้วย

ภาพจาก Car Cscoop

วีดีโอจาก Yotube- Daddy bloger- Honda




Toyota เดินสายการผลิต All-New Camry ปี 2012 แล้ว

กลับมาพบกันอีกครั้งกับข่าวสารวงการยานยนต์ วันนี้ทาง Thaicarlover.com มีข่าวรถยนต์ใหม่จากค่ายรถยนต์ Toyota มาฝากเพื่อนๆ กันครับ

เมื่อก่อนนั้น การทำตลาด Camry ในยุโรปโดยเฉพาะยุโรปตะวันออกไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับ Toyota แต่จากความพยายามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่ายรถยนต์อันดับต้นๆ ของโลกรายนี้ ประสบความสำเร็จในการตีตลาดได้ หนึ่งในนั้นคือ ประเทศรัสเซีย

โดยล่าสุด Toyota ได้เริ่มเดินสายการผลิต Toyota Camry เจเนเรชั่นล่าสุด ที่โรงงาน Toyota Motor Manufacturing Russia (TMMR) ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นโฉมที่จะมีจำหน่ายในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

Toyota Camry 2012

Toyota Camry 2012

Toyota ได้เริ่มเดินสายการผลิต Camry เจเนเรชั่นก่อน มาตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2007 โดย Yoshinori Matsunaga ผู้อำนวยการทั่วไปของ Toyota Motor Manufacturing Russia เผยว่า Camry รุ่นโมเดลเชนจ์นี้ เป็นโอกาสที่ดีสำหรับพนักงานของบริษัทฯ ในการเรียนรู้ และเพิ่มทักษะใหม่ๆ ในการทำงาน ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังมั่นใจในเรื่องคุณภาพด้านต่างๆ ของรถรุ่นนี้ทั้งเรื่องฟังค์ชั่นที่ทันสมัย และระบบความปลอดภัยในการขับขี่

โดย โตโยต้า คัมรี่ เวอร์ชั่นรัสเซียรุ่นนี้ ใช้พื้นฐานของ Camry เวอร์ชั่นอเมริกา เพียงแต่มีการปรับรูปโฉมด้วยการใช้ดีไซน์ด้านหน้าแบบใหม่ มาพร้อมไฟหน้าที่แตกต่างออกไป รวมถึงกันชน แผงกระจัง ฝากระโปรง บังโคลน และไฟท้ายก็ได้รับการออกแบบใหม่เช่นกัน

ด้านหลัง Toyota Camry 2012

ด้านหลัง Toyota Camry 2012

ส่วนเรื่องขุมกำลังนั้น ในประเทศรัสเซีย Toyota Camry 2012 จะมี 2 เครื่องยนต์ทางเลือกที่เป็นเครื่องชนิดเบนซิน ได้แก่ เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตร ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ และเครื่องยนต์ V6 3.5 ลิตร ที่ได้รับการอัพเกรดใหม่และได้มาตรฐาน Euro V โดยทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์ใช้ระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด

สุดท้ายนี้เว็บ Thaicarlover.com อยากให้เพื่อนๆ ช่วยเป็นกำลังใจให้ผู้ที่ประสบปัญหาอยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือกำลังเตรียมการรับมือกับน้ำท่วม และน้ำท่วมรถ ด้วยครับ และถ้าเพื่อนๆ สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้ก็ขอให้ช่วยเหลือตามกำลังความสามารถครับ

ภายใน Toyota Camry 2012

ภายใน Toyota Camry 2012

สำหรับแฟนๆ โตโยต้า ในบ้านเราอาจจะต้องรอลุ้นว่าจะมีอะไรเด็ดๆ มาเปิดตัวที่งานมอเตอร์เอ็กซ์โปร 2011 (Motor Expo 2011) ในปลายปีนี้ หรืองานมอเตอร์โชว์ 2012 (Motor Show 2012) ในต้นปีหน้าหรือไม่ ซึ่งอันนี้แฟนๆ Toyota ต้องติดตามกันต่อไปครับ

ภูกระดึง ขุนเขามหัศจรรย์แห่งเมืองเลย

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ tatatube

ว่ากันว่า....หากอยากพิสูจน์รักแท้ ให้พาคนที่เรารักไปร่วมพิสูจน์รักด้วยการเดินทางพิชิตยอดภูของ อุทยานแห่ง ชาติภูกระดึง และถ้าหากเขาคนนั้น สามารถร่วมเดินทางไปกับคุณจนกระทั่งถึงยอดดอย และคอยช่วยเหลือดูแลกันและ กันเป็นอย่างดีแล้วล่ะก็ เขาก็คือรักแท้ของเราเป็นแน่แท้!!!


...นี่คือตำนานคำกล่าวขานที่มักได้ยินเสมอๆ เมื่อเอ่ยถึง ภูกระดึง หรือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการที่เราจะขึ้นไปถึงยอดดอยได้ ต้องเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 9 กิโลเมตร คือขึ้นเขา 5 กิโลเมตร บวกทางราบอีกประมาณ 3-4 กิโลเมตร (โห...ไหวไหมเนี่ย) ซึ่งนอกจากจะมีคู่รักไปสัมผัสพิสูจน์รักแท้แล้ว ภูกระดึง มักจะได้รับความนิยมในการไปแบบกลุ่มเพื่อนๆ อีกด้วย และทุกคนที่ได้ไปสัมผัสต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตอนเดินเหนื่อยมาก ๆ แต่พอได้ไปสัมผัสกับธรรมชาติข้างบน ภูกระดึง แล้วคุ้มค่าสุด ๆ


แหม ... มีเสียงการันตีความท้าทาย ผจญภัย และน่าไปสัมผัสแบบนี้คงอดใจไม่ได้แล้วที่จะไปศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับภูกระดึง … เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จักอุทยานแห่งนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ


ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง


ภูกระดึง เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 2 ของประเทศไทย ตั้งอยู่ในท้องที่ตำบลศรีฐาน อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย เป็นภูเขาหินทรายยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่งของเมืองไทย จุดสูงสุดอยู่ที่บริเวณคอกเมย มีความสูง 1,316 เมตรจากระดับน้ำทะเล

สภาพทั่วไปของภูกระดึง ประกอบไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด พันธุ์สัตว์ป่านานาพันธุ์ หน้าผา ทุ่งหญ้า ลำธาร และน้ำตก อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ต้นน้ำของลำน้ำพอง ซึ่งเป็นลำน้ำสายสำคัญสายหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด้วยความสูง บรรยากาศ และสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดปี บนยอด ภูกระดึง โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว อุณหภูมิอาจลดต่ำจนถึง 0 องศาเซลเซียส จึงเป็นแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยว ปรารถนาและหวังจะเป็นผู้พิชิตยอด ภูกระดึง สักครั้งหนึ่งในชีวิต


ภูกระดึง

ภูกระดึง
ภูกระดึง

ภูกระดึง

ภูกระดึง



สำหรับการเดินทางขึ้น ภูกระดึง นั้น ทางอุทยานฯ จะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นได้ตั้งแต่เวลา 07.00 - 14.00 น. ของทุกวัน และหลังจากเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป ทางอุทยานฯ จะไม่อนุญาต เพราะระยะทางในการเดินทางขึ้นเขาต้องใช้เวลาในการเดินเท้า ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ซึ่งจะตรงกับเวลาพลบค่ำในระหว่างทาง ดังนั้น อาจจะทำให้เกิดความยากลำบาก อีกทั้งอาจได้รับอันตรายจากสัตว์ป่าที่ออกหากินในเวลากลางคืนอีกด้วย

อย่าง ไรก็ตาม อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จ.เลย จะเปิดการท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดภู ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึง วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี และจะทำการปิดการท่องเที่ยวและพักแรมบนยอดภูกระดึง ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึง วันที่ 30 กันยายนของทุกปีเช่นกัน เพื่อเป็นการฟื้นฟูในช่วงฤดูฝน

ภูกระดึง

ภูกระดึง


จุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนภูกระดึง


ผานกแอ่น... เป็น ลานหินเล็กๆ มีสนต้นหนึ่ง ขึ้นโดดเด่นอยู่ริมหน้าผา เป็นจุดท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่สำคัญอยู่จากที่พักศูนย์วังกวางเพียง 2 กิโลเมตร ในทุกเช้าของหน้าหนาวจะมีนักท่องเที่ยวนิยมถ่ายรูปกันมากและ มักจะมีการชิงทำเลดีๆ เสมอ สมัยนี้ทางไปมักมีช้างอาละวาด ตอนเช้าจะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่เสมอ ห้ามไปเอง เป็นอันขาด นอกจากนั้น หากอากาศดีพอ ในช่วงเวลาที่เดินเท้าฝ่าความมืดมาชมพระอาทิตย์ขึ้นนั้น เป็นช่วงที่ประจวบเหมาะกับ เวลาที่พระจันทร์กำลังจะลับขอบฟ้า ด้านตะวันตกนั้นจะได้เห็นภาพสวยงามแปลกตาไปอีกแบบ ริมทางเดินใกล้ผานกแอ่นเป็นสวนหินมีดอกกุหลาบป่าขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ ซึ่งจะบานสะพรั่งเต็มต้นในเดือน มีนาคม-เมษายน และใครที่อยากไปชมประอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ควรเตรียมไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางไปด้วย



ผาหล่มสัก...ถ้าไม่มาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ ก็เหมือนไม่ได้มาเยือนภูกระดึง…หลายคนถึงกับออกปากไว้แบบนั้น ตัวผาหล่มสักอยู่ห่างจากผาแดง 2.5 กิโลเมตร หากเดินมาจากแยกศูนย์โทรคมนาคมกองทัพอากาศ บนเส้นทางน้ำตก แต่ถ้าเดินจากที่พักศูนย์วังกวาง จะมีระยะประมาณ 9 กิโลเมตร หากจะมาต้องเตรียมตัวให้ดี เพราะขากลับจะมืดกลางทางอย่างแน่นอน ด้วยลักษณะแผ่นหินแปลกตากับโค้งกิ่งสนที่รองรับกันพอดิบพอดีเช่นนี้ นักท่องเที่ยวจึงนิยมจะใช้เป็นจุดชมวิว ดูดวงอาทิตย์ตกดิน และน่าจะถือได้ว่าเป็นภาพที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง แนะนำสักนิดสำหรับผู้ที่จะไปชมประอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและไฟฉายสำหรับใช้ส่องทางเวลาเดินกลับที่พัก ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง


ผาหมากดูก...อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.5 กิโลเมตร เป็นผาที่มีลานหินกว้างขวาง เป็นผาสำหรับชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่พักมากที่สุด สามารถชมทิวทัศน์ภูผาจิตในเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาว ในช่วงต้นฤดูฝนจะมีดอกกระเจียวขึ้นเต็มทุ่งตามเส้นทางสู่ผาหมากดูก


น้ำตกวังกวาง...ชื่อก็บอกอยู่แล้ว น้ำตกวังกวางอยู่ใกล้ที่พักศูนย์วังกวางมากที่สุด โดยมีระยะทางห่างแค่ราว 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ห้วยเล็กๆ ที่โอบล้อมที่พักอีกด้านจะไหลลงน้ำตกที่นี่ วังกวางเป็นน้ำตกเล็กๆ ชั้นที่สูงสุด จะสูงประมาณ 7 เมตร ด้านข้างของน้ำตกมีทางแคบๆ สำหรับปีนลงไปทีละคน จะพบหลืบหินมีลักษณะคล้ายถ้ำใต้น้ำตก น้ำตกวังกวางจะมีความสวยงามมากในช่วง ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - ตุลาคม บริเวณนี้จะมีทากชุม เพราะเป็นด่านช้าง หรือทางช้างเดิน ส่วนในฤดูท่องเที่ยวซึ่งเป็นฤดูแล้ง ปริมาณน้ำค่อนข้างน้อย นักท่องเที่ยวสามารถแวะชมได้ง่ายใกล้ที่พัก


น้ำตกถ้ำสอเหนือ...อยู่ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง 4.8 กิโลเมตร เป็นน้ำตกขนาดกลาง สูง 10 เมตร น้ำไหลมาจากผาเป็นม่านน้ำตก บริเวณเหนือน้ำตกมีดงกุหลาบแดง ซึ่งในช่วงฤดูร้อนจะผลิดอกสร้างสีสรรค์ให้ กับบริเวณนี้สวยงามยิ่งขึ้น


ภูกระดึง

ภูกระดึง


น้ำตกเพ็ญพบใหม่...
เกิดจากลำธารวังกวาง น้ำตกผ่านผาหินรูปโค้ง ในหน้าหนาว ใบเมเปิ้ลที่อยู่บริเวณริมน้ำตก จะร่วงหล่นลอยไปตามผิวน้ำยามแดดสาดส่องผ่าน ลงมาจะเป็นสีแดงจัดตัดกับสีเขียวขจีของตะไคร่น้ำตามโขดหิน ลำธารวังกวางเป็นต้นกำเนิดน้ำตกที่มีชื่ออีกแห่งหนึ่ง คือ น้ำตกโผนพบ ซึ่งตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ โผน กิ่งเพชร นักชกแชมป์เปี้ยนโลกคนแรกของชาวไทยในฐานะเป็นผู้ค้นพบคนแรก เมื่อคราวที่ขึ้นไปซ้อมมวยให้ชินกับอากาศหนาว ก่อนเดินทางไปชกในต่างประเทศ


สระอโนดาด... อยู่ ห่างจากศูนย์บริการนักท่องเที่ยว 2.7 กิโลเมตร เป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่มีต้นสนขึ้นเป็นแนวแน่นขนัด ใกล้กันยังมีลานกินรี ซึ่งเป็นสวนหินธรรมชาติที่อุดมไปด้วยพรรณไม้ ทั้งพวกกินแมลงอย่างดุสิตา หยาดน้ำค้าง หรือเฟิร์น เช่น กระปรอกสิงห์ บนหินยังมีไลเคนขึ้นอยู่เต็มไปหมดด้วย

นอกจากที่เอ่ยมาแล้ว อุทยานแห่งชาติภูกระดึง ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น น้ำตกรัตนา น้ำตกถ้ำสอเหนือ น้ำตกพระองค์ น้ำตกธารสวรรค์ ผาแดง ผาส่องโลก ผานาน้อย ผาจำศีล สวนสีดา ลานกินรี ลานวัดพระแก้ว และอีกมากมายบรรยายกันไม่หมด ดังนั้น ใครที่ชอบเดินป่า ปีนเขา และสัมผัสธรรมชาติแบบถึงเนื้อถึงตัว ภูกระดึง คงเป็นอีกหนึ่งสถานที่คุณจะพลาดไม่ได้ค่ะ


การเดินทาง


รถโดยสารประจำทาง


โดยสารรถยนต์จากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) กรุงเทพมหานคร ไปลงที่ผานกเค้า ซึ่งเป็นเขตต่อแดนระหว่างชุมแพ-ภูกระดึง แล้วโดยสารรถประจำทาง(รถสองแถว) ไปลงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง จากนั้นก็เดินต่อขึ้นไปยอดภูกระดึงควรใช้รถประจำ หรือหากนักท่องเที่ยวใช้รถประจำทางเส้นทางกรุงเทพฯ-ขอนแก่น ลงที่ชุมแพ และต่อรถสายขอนแก่น-เลย ไปลงที่ตลาดอำเภอภูกระดึง ซึ่งจะมีรถสองแถวต่อถึงไปอุทยานฯ


ปล. รถสองแถวแดงที่รับจ้างนำนักท่องเที่ยวส่งระหว่างจุดจอดรถที่ผานกเค้ามาที่ ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง คำแนะนำคือ ถ้าเรามาไม่กี่คนให้รวมทีมกับกรุ๊ปอื่นจะได้เฉลี่ยค่าสองแถวไม่ต้องเหมารถ ให้เปลืองสตางค์


รถไฟ


จากกรุงเทพมหานครโดยสารรถไฟไปลงที่ขอนแก่น จากนั้นโดยสารรถประจำทางสายขอนแก่น-เลย ไปยังหน้าตลาดที่ว่าการอำเภอภูกระดึง แล้วต่อรถสองแถว หรือเดินทางต่อไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูกระดึง ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นปีนเขาขึ้นยอดภู จากนั้นต้องเดินเท้าขึ้นยอดภู อีก 5 กิโลเมตร จึงจะถึง “หลังแป” แล้วเดินเท้าไปตามทุ่งหญ้าอีก 4 กิโลเมตร ก็จะถึงที่พักบนยอดภูกระดึงทางอุทยานฯ ได้จัดลูกหาบสัมภาระของนักท่องเที่ยวขึ้นไปบนยอดภูกระดึง คิดค่าบริการเป็นกิโลกรัม


รถส่วนตัว


เดินทางโดยรถยนต์ สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง


1. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี เพชรบูรณ์ อำเภอหล่มสัก หล่มเก่า ด่านซ้าย ภูเรือ และอำเภอเมืองเลย เลี้ยวเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (เลย-ขอนแก่น) และเลี้ยวเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 2019 เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


2. ใช้เส้นทางผ่านจังหวัดสระบุรี นครราชสีมา จนถึงจังหวัดขอนแก่นเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 ผ่านอำเภอภูผาม่านและตำบลผานกเค้า เข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูกระดึง


3. เดินทางผ่านจังหวัดสระบุรี อำเภอปากช่อง เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 201 ผ่านจังหวัดชัยภูมิ อำเภอภูเขียว แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จากนั้นเดินทางเช่นเดียวกับเส้นทางที่ 2

ภูกระดึง



ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทั้งบนยอดภูกระดึง และบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่ด้านล่าง ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับอุทยานแห่งชาติ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาขอรับบริการข้อมูลได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 8.00 - 16.30 น.



หมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ


บริเวณที่ทำการอุทยานฯ มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท และบริการลูกหาบสัมภาระ กิโลกรัมละ 10 บาท นักท่องเที่ยวสามารถเช่าเต็นท์และบ้านพักได้ที่ที่ทำการอุทยานฯ โทร.0-4287-1333 หรือติดต่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรุงเทพฯ โทร. 0-2562-0760


ท้ายสุดฝากไว้ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยากไปท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติบน ภูกระดึง ควรใช้เวลาอย่างน้อย 3 วัน จึงจะเที่ยวชมธรรมชาติได้ทั่วถึง ซึ่ง อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จะเปิดให้เที่ยวบนยอด ภูกระดึง ได้เฉพาะในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคมเท่านั้น ช่วงระหว่างมิถุนายนถึงกันยายนของทุกปี ทางอุทยานฯ จะปิดเพื่อปรับสภาพธรรมชาติ ให้ฟื้นตัวและปรับปรุงสถานที่พักสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว ฉะนั้น เช็คก่อนออกเดินทางกันด้วยล่ะ


เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว บรรดาแบคแพ็คเกอร์ทั้งหลาย ก็เตรียมแพ็คกระเป๋า แล้วออกเดินทางกันได้เลย...




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
, relaxzy.com และ phukradung.sadoodta.com

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม