2012 toyota landcruiser 200 ได้เวลาปรับโฉมอเนกประสงค์รุ่นใหญ่

ที่ผ่านมาตลอดปีในบ้านเร้านั้น ตลาดรถยนต์อเนกประสงค์ถือเป็นอีกกหนึ่งตลาดที่เริ่มครุกรุ่นหลัง 2 ค่ายยักษ์ใหญ่เปิดตัวรถยนต์กลุ่มนี้ออก ที่หนึ่งนั้นเป็นรถยนต์จากค่าย Toyota ที่มาเปิดเผยโฉมในกลุ่ม PPV กับ Toyota Fortuner Big Minorchanged และมันก็ส่งผลถึงรถยนต์รุ่นใหญ่ของค่ายที่ดูจะมีหน้าตาไม่ต่างกันมากนัก
อาจจะไม่ได้อยู่กระแสเสียเท่าไร แต่ก็มีการพูดถึงมาสักพักใหญ่แล้วสำหรับ Toyota Land cruiser 200 2012 ที่จะมาปรับโฉมเอาใจลูกค้า ถึงรถรุ่นนี้จะไม่มาลงตลาดบ้านเรา แต่การปรับโฉมครั้งนี้ก็มีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ และเป็นการเพิ่มดีกรีร้อนแรงของหนึ่งในรถอเนกประสงค์ชั้นนำที่ยังวางจำหน่าย ในหลายตลาดทั่วโลก
2012 Toyota Land cruiser 200
2012 Toyota Land cruiser 200 นั้น กลับมาพร้อมการเปลี่ยมรูปลักษณ์ใหม่จากเดิมที่อาจจะไม่หมดจดเสียทีเดียว แต่อย่าเพิ่งสับสนตัวเลข 200 เพราะนี่เป็นการปรับเปลี่ยนในรุ่นใหญ่อย่างเดียว และมันได้รับการขลับเกลาเรือนร่างให้ดูดีหรูมากยิ่งขึ้น มาพร้อมไฟตัดหมอก และไฟหน้าแบบใหม่ที่ดูดีมากยิ่งขึ้น รวมเอาไฟ LED เข้าไปในโคม เน้นการเติมความทันสมัย เช่นเดียวกับกระจังหน้าโครเมี่ยมใหม่ที่ลงตัว
กระจกมองข้างถูกปรับใหม่ให้มาพร้อมไฟเลี้ยวฟังมาพร้อมกัน เช่นเดียวกับไฟท้ายใหม่ที่ปรับเปลี่ยนบุคคลิกของรถไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนที่จะลงตัวด้วยล้ออัลลอยขอบ 18 หรือ 20 นิ้ว ตามความชอบของลูกค้า
ด้านในห้องโดยสารก็มีการปรับแต่งเช่นกัน แต่ด้วยข้อจำกัด อาจจะทำให้ไม่มากมายอย่างที่คิดนักแต่แม้จะเป็นแบบนั้น 2012 Toyota Land cruiser 200 ก็ยังมาพร้อมจอภาพแบบ TFT ที่ถูกเติมเข้ามาในการแสดงรายละเอียด ส่วนเรื่องความหรูนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว
ในเรื่องสมรรถนะ 2012 Toyota Land cruiser 200 ได้มีการเพิ่มเทคโนโลยีชั้นนำต่างๆเข้าเพื่อตอบโจทย์สมรรนถะการขับขี่ที่ ต้องทั้งลุยและหรู โดยเฉพาะระบบควบคุมการลื่นไถลและระบบป้องกันล้อล็อคอย่าง ABS ที่ยังพกความสามารถในการเลือกโหมดขับขี่ Multi Terrain Selected System ที่สามารถปรับเลือกให้เหมาะกับสภาพถนน โดยเฉพาะ "Craw Control" ที่ทำงานคล้ายระบบ Cruise Control เต่น้นในการช่วยคุณในการปีนป่ายตามสภาวะการขับขี่และขับทางออฟโรดให้มั่นใจ มากยิ่งขึ้น
2012 Toyota Land cruiser 200
เรื่องขุมพลังมีให้เลือกเพียงแบบเดียว และแม้มันจะไม่เป็นที่นิยมมากในบ้านเกิดแต่ค่าย Toyota ก็ยังยืนยันที่จะจำหน่าย 2012 Toyota Land cruiser 200 ด้วยเครื่องยนต์ V8 ขนาด 4.6 ลิตรที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่แห่งการลุยด้วยกำลังสูงสุด 318 แรงม้า ที่ 5,600 รอบต่อนาที เช่นเดียวกับแรงบิด 460 นิวตันเมตร ที่ 3,400 รอบต่อนาที ทั้งหมดมาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ
ทั้งนี้ Toyota ตั้งราคา 2012 Toyota Land cuiser 200 ไว้เริ่มต้นที่ 4.4 ล้านเยนสำหรับรุ่น 5 ที่นั่ง ส่วนในรุ่น 8 ที่นั่งจะจำหน่ายในราคา 6.3 ล้านเยนเป็นค่าตัว ซึ่งนอกจากนี้ยังมีการนำเสนอแพ็คเกจต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของลูกค้า เช่นแพ็คเกจ "Luxury SUV" และ "Urban Sports" ซึ่งรถที่ได้รับการตบแต่งตามแพ็คเกจดังกล่าวจะมีการใส่เพลทนัมเบอร์เอาไว้ด้วย

GM ซุ่มพัฒนา Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid

General Motors ซุ่มพัฒนา เชฟโรเลต ครูซ ปลั๊กอิน ไฮบริด (Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid) อนาคตคู่แข่งของ Toyota Prius Plug-In ซึ่งแตกต่างไปจาก Volt Plug-In แม้ว่ารถทั้งสองรุ่นจะเป็น Plug-In hybrid เนื่องจากการใช้ระบบขับเคลื่อนที่เป็นการทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์สันดาปภายใน และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเพิ่มความสามารถในการชาร์จไฟในแบบเสียบปลั๊กเข้าไป
Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid
Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid
ความแตกต่างที่ชัดเจนก็คือ Volt เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าตลอดเวลาด้วยพลังงานไฟฟ้า ในขณะที่่ Cruze Plug-In จะขับเคลื่อนรถด้วยเครื่องยนต์เบนซิน และมอเตอร์ไฟฟ้า
ด้านหลัง Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid
ด้านหลัง Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid
ด้านเครื่องยนต์ Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid หรือ Cruze PIH จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน มอเตอร์ไฟฟ้า และชุดแบตเตอรี่ลิเธี่ยมไอออน ซึ่งโดยส่วนใหญ่การขับเคลื่อนจะเกิดจากเครื่องยนต์เบนซิน
ภายใน Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid
ภายใน Chevrolet Cruze Plug-In Hybrid
ส่วนการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจะเป็นการเสริมการทำงานซึ่งจะมีระยะทางทำการสั้นๆ ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ Cruze Plug-In Hybrid จะมีราคาต่ำกว่า Volt อีกทั้งรถชนิดนี้มีสิทธิ์เกิดในเมืองไทยมากกว่ารถไฟฟ้าที่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอื่นๆ โดยเฉพาะสถานีเติมไฟฟ้าที่ต้องมีตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ
สำหรับแฟนๆ เชฟโรเลต ในบ้านเราอาจจะต้องรอลุ้นว่าจะมีอะไรเด็ดๆ มาเปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์ 2012 (Motor Show 2012) ในต้นปีหน้า หรือไม่ ซึ่งอันนี้แฟนๆ Chevrolet ต้องติดตามกันต่อไปครับ
อย่าพลาดติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถใหม่ รวมถึงความเคลื่อนไหวในวงการรถยนต์ทั้งไทย และต่างประเทศได้ใหม่กับ Thaicarlover.com ได้ใหม่ครับ

เปิดตัว… Volkswagen Cross Coupe Concept

ระหว่างปี 2007-2011 รถยนต์ประเภทครอสโอเวอร์ หรือเอสยูวี (SUV) ที่มีความกะทัดรัด และคล่องตัวเหมือนรถยนต์นั่งเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะได้ทั้งความอเนกประสงค์ มองเห็นทัศนวิสัยง่าย และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดี ยิ่งปี 2012 น่าจะเป็นปีที่เริ่มต้อนรับรถครอสโอเวอร์รูปแบบอื่นเข้ามาอีก อาทิ เช่นมีขนาดเล็กลง หรือหันเหไปทางรถคูเป้มากขึ้น
ด้านหน้า Volkswagen Cross Coupe Concept
ด้านหน้า Volkswagen Cross Coupe Concept
งานนี้ Volkswagen เลยนำเสนอ โฟล์คสวาเก้น ครอส คูเป้ คอนเซ็ปต์ (Volkswagen Cross Coupe Concept) ครอสโอเวอร์ทรงคูเป้ในงาน Tokyo Motorshow 2011 ที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่ารถรูปลักษณ์แบบนี้น่าจะเป็นเทรนด์ใหม่อีกประมาณ 2-3 ปีข้างหน้า นำทีมออกแบบโดย Walter de Silva และ Klaus Bischoff ยึดหลักแนวคิด 2 ประการหลัก คือ ดั้งเดิม และแข็งแกร่งในบุคลิกภาพ
Volkswagen Cross Coupe Concept
Volkswagen Cross Coupe Concept
โดยรถคันนี้ถูกสร้างขึ้นบนพื้นตัวถัง MQB 4 ที่นั่ง ติดตั้งขุมพลังเบนซินฉีดเชื้อเพลิงตรง TSI ประกบกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว สามารถวิ่งในโหมดรถไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 25 ไมล์
ด้านหลัง Volkswagen Cross Coupe Concept
ด้านหลัง Volkswagen Cross Coupe Concept
จุดเด่นของ Volkswagen Cross Coupe Concept คือความกะทัดรัดราวกับรถสปอร์ตคูเป้ด้วยความยาวตัวถัง 171.1 นิ้ว สั้นกว่า Volkswagen Tiguan แต่ยาวกว่า Golf ความกว้าง 73.5 นิ้ว ความสูง 60 นิ้ว ความยาวฐานล้อ 103.5 นิ้ว ยาวกว่าทั้ง Tiiguan และ Golf แต่กลับมีโอเวอร์แฮงค์หน้า และท้ายสั้นพอสมควร ทำให้มุมไต่ล้อหน้าเหลือ 24.2 องศาและล้อหลัง 32.5 องศา
ภายใน Volkswagen Cross Coupe Concept
ภายใน Volkswagen Cross Coupe Concept
ด้านขุมพลังจะเป็น Plug-in Hybrid รวมกันมีพละกำลัง 262 แรงม้า จากมอเตอร์ไฟฟ้าตัวแรก 54 แรงม้า ตัวที่สอง 114 แรงม้า และเครื่องยนต์ TSI 148 แรงม้า แต่น่าแปลก เพราะพละกำลังขนาดนี้กลับมีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7 วินาที ซึ่งถือว่าช้าไปหน่อย ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ความประหยัดนั้นเทพมากเพราะทำได้ถึง 2.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ปล่อยค่าไอเสีย 62 กรัมต่อกิโลเมตร
สำหรับแฟนๆ โฟล์คสวาเก้น ในบ้านเราอาจจะต้องรอลุ้นว่าจะมีอะไรเด็ดๆ มาเปิดตัวที่งานมอเตอร์โชว์ 2012 (Motor Show 2012) ในต้นปีหน้า หรือไม่ ซึ่งอันนี้แฟนๆ Volkswagen ต้องติดตามกันต่อไปครับ
อย่าพลาดติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถใหม่ รวมถึงความเคลื่อนไหวในวงการรถยนต์ทั้งไทย และต่างประเทศได้ใหม่กับ Thaicarlover.com ได้ใหม่ครับ

10 รถเด่นแห่งปี 2011

       แม้ ว่าตลอดช่วงปีนี้จะเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติที่ส่งผลต่อการผลิตของอุตสาหกรรม รถยนต์ทั่วโลกถึง 2 ครั้งในช่วงต้นและปลายปี แต่ทว่าตลาดรถยนต์ก็ยังเดินหน้า และผู้ผลิตรถยนต์ทั้งหลายต่างก็เปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของตัวเองออกมาให้สัมผัสกันตลอดปี 2011 เรียกว่าเป็นร้อยๆ รุ่นเลยถ้านับทั้งหมด แต่ถ้านับเฉพาะโมเดลเชนจ์หรือรุ่นเปลี่ยนโฉม ก็มีนับสิบๆ รุ่นเช่นกัน
      
       และก็ถือเป็นธรรมเนียมที่เมื่อถึงช่วงปลายปี จะต้องมการสรุป 10 รถยนต์ใหม่ที่ถือเป็นรุ่นเด่นๆ ของปีออกมา และนี่คือรถยนต์ทั้ง 10 คันที่ได้รับเลือกจากทีมข่าวมอเตอริ่งของ ASTV ผู้จัดการ
      
       1.Toyota GT 86 : การกลับมาของสปอร์ตขับเคลื่อนล้อหลังยุ่นที่มีราคาไม่แพง ซึ่งทำท่าว่าจะสูญพันธุ์ไปแล้วแต่โตโยต้ามองเห็นช่องว่างในตลาด บ้างก็ว่าเกิดขึ้นจากแรงผลักดันของอิทธิพลการ์ตูนที่มีตัวละครอย่าง AE86 Trueno ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรก็ตาม GT 86 หรือชื่อก่อนเข้าวงการ FT-86 ถือเป็นผลผลิตที่ได้รับการจับตามองอย่างมากจากแฟนๆ ทั่วโลก
      
       เพราะนี่คือครั้งแรกที่โตโยต้าหยิบยืมแพล็ตฟอร์ม และเครื่องยนต์บ็อกเซอร์แบบ 4 สูบ 2000 ซีซี ของซูบารุมาใช้ เช่นเดียวกับการเป็นตัวช่วยจุดประกายให้กับรถสปอร์ตขับหลังราคาไม่แรง หรือ Affordable Sport Car ที่เคยโด่งดังในยุค 80 และ 90 โดยอย่างน้อยการเปิดตัวโปรเจกต์นี้ก็ทำให้นิสสันเริ่มพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำซิลเวียกลับมาขายอีกครั้ง
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : GT 86 เป็นโปรเจกต์ที่โตโยต้าส่งขายทั่วโลก และมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีก 2 รุ่นคือ ซูบารุ BRZ และไซออน FR-S ส่วนตลาดไทย แว่วมาว่าในปีหน้ามีโอกาสสูงมากที่โตโยต้าจะนำเข้ามาเซอร์ไพรส์ในวาระฉลอง 50 ปีการทำตลาดในบ้านเรา ในราคาบวกลบ 2 ล้านบาท แต่ถ้านี่คือข่าวลวงยังไงคนไทยก็ได้ขับอยู่ดีผ่านทางบรรดาเกรย์มาร์เก็ต
      
       2.Honda Civic : รถยนต์สำคัญอีกรุ่นของฮอนด้า ซึ่งซีวิคใหม่ที่เห็นอยู่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 9 นับจากเปิดตัวออกขายในตลาดโลกตั้งแต่ปี 1972 และฮอนด้ายังแบ่งรูปโฉมในการทำตลาดเหมือนเคย โดยในต้นปี 2011 เปิดตัวเวอร์ชันอเมริกาเหนือ มีขายทั้งตัวถังซีดานและคูเป้ออกมา ก่อนที่จะถึงคิวของตลาดยุโรปกับตัวถังแฮทช์แบ็ก ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกันเลยในด้านงานออกแบบ
      
       สำหรับเวอร์ชันอเมริกาเหนือที่มีความใกล้เคียงกับรุ่นที่ขาย ในบ้านเรานั้น ทางฮอนด้ามีการปรับปรุงตัวรถหลายประการทั้งในแง่ของการออกแบบ สมรรถนะของเครื่องยนต์ R18A ให้มีความประหยัดน้ำมันขึ้น โดยที่รุ่น 2000 ซีซีไม่มีขาย ส่วนในรุ่นตัวแรง หรือ Si เปลี่ยนจากเครื่องยนต์ K20A ที่เลิกผลิตไปแล้วมาเป็น K24A ซึ่งให้ความเร้าใจในระดับเกิน 200 แรงม้า
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : ถ้าไม่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ช่วงปลายปีนี้จนทำให้ไลน์ผลิตของฮอนด้าเสียหาย ลูกค้าชาวไทยคงได้ขับซีวิคใหม่กันไปแล้ว ดังนั้น การเปิดตัวของซีวิคใหม่ก็เลยโดนเลื่อนไปโดยปริยาย และน่าจะเปิดตัวในช่วงเวลาเดียวกับงานบางกอก มอเตอร์โชว์ ปลายเดือนมีนาคม แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เมื่อเปิดตัวแล้ว จะสามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้เมื่อไร ?
      
       3.BMW 3 Series : เจนเนอเรชันที่ 6 ของรถยนต์ที่ขึ้นชื่อว่าขายดีที่สุดของค่ายบีเอ็มดับเบิลยู โดยซีรีส์ 3 ใหม่มากับรหัส F30 แทนที่รุ่นเดิมซึ่งเป็นรหัส E90 และมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่สวยโดดเด่นโดยอ้างอิงเส้นสายและสไตล์การออกแบบมาจากรถรุ่นพี่อย่างซีรีส์ 7
      
       ในรุ่นนี้มีขายทั้งเครื่อง ยนต์เบนซิน และเทอร์โบดีเซลในแบบ 4 และ 6 สูบเรียง โดยที่เป็นของใหม่คือ เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2000 ซีซี ซึ่งมาพร้อมเทอร์โบแบบ Twin-Scroll และระบบ Di รีดกำลังออกมาได้ 245 แรงม้า เทียบเท่าเครื่องยนต์ 6 สูบ 3000 ซีซี แถมในรุ่นนี้ยังมีการนำระบบ Auto Start/Stop มาใช้เพื่อช่วยความประหยัดน้ำมันอีกด้วย
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : ไม่น่าพลาดอยู่แล้ว เพียงแต่จะมาในช่วงไหนเท่านั้นเอง โดยเชื่อว่าในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2012 น่าจะได้เห็นตัวเป็นๆ ของซีรีส์ 3 ใหม่ในบ้านเรา เพียงแต่ว่าจะเริ่มวางขายเมื่อไรคงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ถ้าให้ฟันธง น่าจะเป็นสักช่วงค่อนมาทางปลายปี
      
       4.Porsche 911 : โฉมใหม่ที่ดูยังไงก็ไม่เห็นจะเหมือนของใหม่แกะกล่อง แต่เชื่อเถอะว่านี่คือ 911 ใหม่แบบโมเดลเชนจ์จริงๆ ไม่เหมือนการเล่นมุขกับรุ่น 996 และ 997 โดยในรุ่นใหม่นี้ใช้รหัส 991 และเปิดตัวรุ่นพื้นฐานออกมาชิมลางตลาด 2 รุ่นตามระเบียบปฏิบัติของปอร์เช่ คือ คาร์เรรา และคาร์เรรา เอส
      
       ความน่าสนใจนอกจากจะอยู่หน้าตาที่ใหม่ทั้งคันแล้วยังอยู่ที่การ ลดความจุของเครื่องยนต์ แต่อัพเกรดความเร้าใจได้เหนือระดับ โดยในรุ่นคาร์เรรามากับเครื่องยนต์ 6 สูบนอน 3400 ซีซี 350 แรงม้า เมื่อบวกกับตัวถังที่เบาลงจากรุ่นเดิม 45 กิโลกรัม แต่ค่า Cd บนตัวถังที่ลดแรงต้านของอากาศ ทำให้ 911 ใหม่สามารถทะยานได้อย่างเร้าใจ
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : ถ้ามีเงินก็เก็บรอเอาไว้ได้เลย เพราะตัวแทนจำหน่ายในบ้านเราไม่เคยพลาดอยู่แล้ว เพียงแต่ราคาจะอยู่ในระดับเกิน 10 ล้านบาทหรือเปล่าเท่านั้นเอง
      
       5.Volkswagen UP : ถ้าโฟล์คเต่าคือ ตัวแทนของรถยนต์แห่งประชาชนในยุคศตวรรษที่ 20 UP คือ รถยนต์ที่สวมบทบาทเดียวกัน แต่เป็นแห่งศตวรรษที่ 21 โดยตัวรถถูกปรับจากแบบเครื่องยนต์วางท้ายขับเคลื่อนล้อหลังในตัวต้นแบบรุ่นแรกมาเป็นรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งมีความยาวในระดับ 3.5 เมตร และเป็นผลผลิตที่โฟล์คตั้งใจส่งขายในตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดรถยนต์เกิดใหม่อย่างจีนและบราซิล
      
       เครื่องยนต์ที่ใช้ในการขับเคลื่อนเป็น แบบเบนซิน 3 สูบ 1000 ซีซี มีกำลังสูงสุด 75 แรงม้า มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : ทำใจให้ลืมๆ ไปซะว่ามีรถยนต์รุ่นนี้อยู่ในโลก เพราะดูแนวโน้มแล้วโอกาสขายในบ้านเราคงแทบไม่มี หรือถ้ามี ราคาก็คงไม่เป็นมิตรกับกระเป๋าเงินอย่างแน่นอน ถ้าอยากขับรถยนต์สไตล์นี้จริงๆ แนะนำให้เลือกซื้อ Eco Car แบบไทยๆ ดีกว่า
      
       6.Chevrolet Trailblazer : ฝรั่งอาจจะเรียกว่าเป็น SUV แต่เทรลเบลเซอร์เมื่อเข้ามาขายในบ้านเรา มันก็คือรถยนต์ในกลุ่ม PPV หรือปิกอัพดัดแปลงนั่นเอง เพราะนี่คือเวอร์ชัน 5 ประตูที่แชร์รายละเอียดพื้น ฐานของตัวรถตั้งแต่ช่วงด้านหน้าจนถึงเสากลางร่วมกับปิกอัพรุ่นโคโลราโดใหม่ แบบ 4 ประตู เหมือนกับที่ฟอร์จูนเนอร์เป็นเพื่อนร่วมสายพันธุ์กับวีโก้ และปาเจโร สปอร์ตกับไทรทัน
      
       ตัวรถถูกเปิดตัวในงานโชว์ที่ดูไบ พร้อมเครื่องยนต์ 2800 ซีซี แบบเดียวกับที่ใช้ในโคโลราโด ส่วนทางเลือกอื่นๆ จะมีให้เห็นด้วยไหม ต้องรอติดตามดูกันต่อไป
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : เปิดตัวแน่ในงานบางกอก มอเตอร์โชว์ 2012 ส่วนทางเลือกอื่นๆ จะมีให้สัมผัสไหม ก็อดใจรอได้ที่งานนี้
      
       7.Nissan Tiida : มีไม่บ่อยครั้ง แต่ก็เริ่มมีให้เห็นบ่อยครั้งขึ้นที่รถยนต์รุ่นหลักของผู้ผลิตจากญี่ปุ่นจะ ถูกเปิดตัวในงานมอเตอร์โชว์ที่จีน โดยนิสสันเลือกเปิดตัวทีด้าใหม่แบบโมเดลเชนจ์ในงานโชว์ที่เซี่ยงไฮ้ พร้อมรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูแล้วคล้ายกับ LEAF ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของโลกมาก โดยตัวถังที่เปิดตัวมีแบบเดียว คือ แฮทช์แบ็ก 5 ประตู ส่วนซีดาน 4 ประตูที่ฮิตในบ้านเราก็ต้องรอลุ้นต่อไปว่าจะมีเข้ามาไหม หรือถ้ามีจะมาเมื่อไร
      
       ข่าวดีสำหรับทีด้าใหม่ คือ คราวนี้นิสสันจะกำหนดกลุ่มตลาดให้มีความชัดเจนสักทีหลังออกลูก ‘กั๊ก’ ว่าจะเป็น B หรือ C Car กันแน่ โดยในรุ่นใหม่จะเดินหน้าลุยตลาดคอมแพกต์เต็มตัว และปล่อยงานกวาดล้างตลาด B-Car ให้เป็นหน้าที่ของซันนี่ หรือเวอร์ซ่า (ซึ่งในบ้านเราปรับสเป็กและขายในชื่ออัลเมรา โดยอยู่ในคลาส Eco Car)
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : หลังจากที่นิสสันประกาศนโยบายในการรุกตลาดบ้านเราแบบเป็นเรื่องเป็นราวมาก ขึ้น แถมยังเตรียมรถยนต์ใหม่รอเปิดตัวเอาไว้หลายรุ่นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ตรงนี้คาดได้เลยว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีทีด้ารวมอยู่ด้วย เพียงแต่ต้องรอลุ้นว่าจะมาปลายปี 2012 หรือต้นปีถัดไป
      
       8.Lamborghini Aventador LP700 : โมเดลเชนจ์ของสปอร์ตรุ่นใหญ่อย่างมูร์ซิเอลาโก้ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นอะเวนทาดอร์ พร้อมการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก และการออกแบบที่เน้นความดุดันอย่างมาก ที่สำคัญคือ การหันมาใช้คาร์บอนไฟเบอร์มาเป็นวัสดุหลักใน การผลิตชิ้นส่วนตัวถัง ซึ่งค่ายลัมบอร์กินีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงขนาดลงทุนพัฒนาและวิจัยกับ มหาวิทยาลัยซีแอตเทิลในสหรัฐอเมริกา
      
       ตัวรถใช้เครื่องยนต์วี12 ที่มีกำลังสูงสุด 700 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที (ตามชื่อรุ่น 700) พร้อมแรงบิดสูงสุดในระดับ 70.3 กก.-ม. ที่ 5,500 รอบ/นาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะขับลดลงจากเดิมประมาณ 20%
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : กำเงิน 30 กว่าล้าน แล้วเดินไปซื้อที่โชว์รูมได้เลย
      
       9.Ferrari FF : ถ้าใครบอกว่าเฟอร์รารี่จะหันมาผลิตรถสปอร์ตในแบบตัวถัง Shooting Break เห็นทีคงจะต้องโดนมองว่าไม่บ้าก็เมาอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว แถมยังไม่ธรรมดาด้วย เพราะมากับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อซึ่งถือเป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์บริษัท และยังใช้ตัวอักษรที่เป็นตัวย่อมาตั้งเป็นชื่อรุ่น
      
       รถสปอร์ตที่ว่าคือ FF หรือ Ferrari Four ซึ่งเข้ามาทำตลาดแทนที่รุ่น 612 และวางเครื่องยนต์วี12 บล็อกใหม่ 6262 ซีซี จ่ายน้ำมันด้วยระบบไดเรกต์อินเจ็กชั่น รีดกำลังออกมาใช้งานได้ 660 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 69.7 กก.-ม. ที่ 6,000 รอบต่อนาที
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : เหมือนกับคันข้างบน
       10. Ford Escape : แนวคิด One Ford ส่งผลกระทบสู่รถยนต์เกือบทุกเซ็กเมนท์ของฟอร์ดที่เป็น World Car ซึ่งก็รวมถึง SUV แบบคอมแพกต์ที่เมื่อก่อนโดนแยกออกเป็น 2 โมเดล คือ คูก้า และเอสเคปในการขายตลาดทั่วโลก แต่ในตอนนี้ก็ยังแบ่งชื่อในการทำตลาดแบบนี้เหมือนเดิม เพียงแต่ SUV ที่จะใช้ทำตลาดมีแบบเดียวเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนละคันเหมือนกับเมื่อก่อน
      
       ฟอร์ดยังใช้ชื่อเอสเคปสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ส่วนตลาดโลกใช้ชื่อว่าคูก้า แต่ก็น่าสงสัยว่าในตลาดบางแห่งที่ใช้ชื่อเอสเคปในการขาย จะยังคงรูปแบบนี้เอาไว้เหมือนเดิมหรือไม่ ตรงนี้ยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่ โดยในรุ่นใหม่ได้รับการออกแบบได้อย่างสวยและสปอร์ตโดยอิงพื้นฐานมาจากต้นแบบรุ่นเวอร์เทร็ก
      
       แล้วตลาดไทยล่ะ ? : โอกาสในการทำตลาดยังพอมี แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับโฟกัสใหม่ว่าจะมาเร็วแค่ไหน และจะขึ้นไลน์ผลิตในประเทศหรือไม่ เพราะเอสเคปใหม่ใช้พื้นฐานร่วมกัน และไม่ใช่การแชร์ตัวถังร่วมกับมาสด้า ทริบิวต์เหมือนกับรุ่นที่แล้วอีกต่อไป...หรือคุณสาโรชว่าอย่างไร ?

Honda Brio ดีกว่าที่คิด ขับสนุก ขับง่าย ช่วงล่างหนึบ

ด้วยปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันแพง บวกกับเทรนด์รถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ Eco Car กำลังฮอตฮิตในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ Honda Brio ถูกคาดหวังอย่างสูงในทุก ๆ ด้าน โดยก่อนที่ทีมข่าวรถวันนี้และโลกวันนี้รายวันจะเดินทางมาทดสอบบนเส้นทาง เชียงราย-ดอยตุง เพื่อนฝูงต่างฝากประเด็นมาให้ค้นหาและพิสูจน์เจ้าเก๋งเล็กดีไซน์เตะตาคันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ ความน่าใช้ กำลังเครื่องยนต์ ช่วงล่าง เรื่อยมาถึงความสะดวกสบายของห้องโดยสาร ที่สำคัญยังให้เทียบรุ่นกับ Nissan March ว่า ความเหมือนบนความต่างมีอะไรบ้าง

รูปทรงและภายใน ดีไซน์สวยทันสมัย

ดีไซน์ตัวรถ จะว่าไปแล้วถือเป็นเรื่องนานาจิตตัง โดย Honda Brio ถูกพัฒนาให้เป็นรถที่เน้นขับในเมือง รูปทรงดูสวยและโฉบเฉี่ยว ทำให้ต้องตาต้องใจสาว ๆ และวัยรุ่นเป็นอย่างดี กระจังหน้าทรงปีกเครื่องบิน ติดโลโก้ตรงกลาง ช่องลมทรงเหลี่ยมคางหมูดูกลมกลืนกับกันชน ที่มีรูปทรงแฝงความสปอร์ต ดวงไฟทรงหยดน้ำรับกับซุ้มล้อ ฝากระโปรง และแนวเส้นที่แนบข้างลำตัวไปตลอดคัน ผิดกับ March ที่มีรูปทรงป้อม ๆ โค้งมน ด้านท้าย Brio ออกแบบได้น่ามอง ด้วยกันชนทรงโตและดวงไฟท้ายใหญ่ทรงเหลี่ยมรับกับฝาประตูแผ่นกระจกหนาทั้งบาน
Honda Brio
ภายใต้รูปทรงกะทัดรัด 4 ที่นั่ง มิติรถแบบหน้าสั้นหลังตัด พร้อมเก็บรายละเอียดที่เป็นจุดด้อย Nissan March แม้สัดส่วนจะเล็กกว่า March นิดหน่อย แต่กลับมีพื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่วางเท้าเหลือเฟือ และมิติภายในให้ทัศนวิสัยกว้างรอบด้าน

ภาพโดยรวมในการดีไซน์ดูหรูและแฝงอารมณ์สปอร์ตกว่าคู่แข่ง ภายในเลือกใช้โทนสีเบจ ทำให้มีมิติที่ดูกว้างขึ้น เบาะนั่งแถวหน้านั่งสบายลงตัวก็จริง แต่จะดีกว่านี้หากปรับระดับสูงต่ำได้ เบาะหลังดูแข็งแรงกว่า ตัวพนักพิงให้องศาลาดกว่า ช่วยให้นั่งสบาย และยังพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ พวงมาลัย 3 ก้าน คอนโซลกลางดูกลมกลืนกับมาตรวัดเรืองแสงแบบอนาล็อกผสมดิจิตอลแบบ 3 วง พร้อมระบบเครื่องเสียงแบบ 2 DIN ที่มาพร้อมกับช่องต่อ USB โหมดหรือปุ่มควบคุมใช้งานง่าย

ขับสนุก ช่วงล่างหนึบ...ดีเกินคาด

จากโจทย์เส้นทางทดสอบ ทั้งในตัวเมืองเชียงราย ระยะทางร่วม 13 กม. ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ตัวท็อป และจากเชียงราย-ดอยตุง-เชียงราย ระยะทาง 113 กม. ในรุ่นท็อปเกียร์อัตโนมัติ CVT จะว่าไปแล้วนับเป็นความหาญกล้าของค่ายฮอนด้าที่หวังจะมัดใจลูกค้าให้เห็นถึง จุดเด่นของรถ
Honda Brio
ภายใต้เครื่องยนต์เบนซิน SOHC 4 สูบ 1.2 ลิตร 90 แรงม้า ระบบวาล์วไอดีแปรผัน i-VTEC บล็อกเดียว
กับที่วางอยู่ใน City และ Jazz ส่วนระบบความปลอดภัยมีมาครบ รวมถึงอัตราประหยัดน้ำมัน 20 กิโลเมตรต่อลิตร ตามข้อกำหนด BIO โดยเฉพาะการขับบนเส้นทางเชียงราย-ดอยตุง-เชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความคล่องตัวในการขับขี่ แฮนเดอริ่งพวงมาลัย ตลอดจนสมรรถนะขุมพลัง อัตราเร่ง ระบบช่วงล่าง โดยมีไฮไลต์การทดสอบบนทางไฮเวย์ และทางลาดชัน ทางโค้งบนดอยเป็นอุปสรรคให้ได้พิสูจน์
เกียร์ธรรมดา 5 สปีด รอบจัดอัตราเร่งโดนใจ

เริ่มแรกขับรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แม้จะใช้เวลาและระยะทางในการทดสอบไม่มากนัก แต่ทำให้รับรู้ได้ถึงความคล่องตัวของพวงมาลัยที่ฉับไว แรก ๆ ผมคิดว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นกับผมเท่านั้น แต่ครั้นไล่ถามนักข่าวรุ่นน้องทั้งชายและหญิง ทุกคนลงความเห็นทำนองเดียวกันว่าไวเกินควร ขณะที่วิศวกรญี่ปุ่นกล่าวว่า นี่เป็นความตั้งใจ เพราะจากผลสำรวจที่ทำวิจัยบ่งชี้ให้เซ็ตอัพพวงมาลัยตามใจประดาแฟนพันธุ์แท้ ฮอนด้าเพศผู้หญิงโดยเฉพาะ
Honda Brio
อัตราเร่งตีนต้นถึงกลาง ต้องยอมรับว่าจัดจ้านโดนใจและสปอร์ตกว่าคู่แข่ง ด้วยรอบเครื่องยนต์ที่กว้าง สามารถลากรอบเล่นเกียร์เรียกกำลังมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง แต่ครั้นใส่เกียร์ 4 กำลังกลับสะดุด ส่งผลให้ความ
เร็วปลายไม่ดีนัก และสู้คู่แข่งไม่ได้

เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับสนุก ขับง่าย

จากนั้นย้ายมาขับรุ่นท็อปเกียร์อัตโนมัติ CVT กับเส้นทางไกล ผมเริ่มจะคุ้นกับความไวของพวงมาลัยมากขึ้น ช่วยให้การเลี้ยวกลับรถ รวมถึงจังหวะซุกแซงคล่องตัว ครั้นพ้นเขตชุมชนเจอทางโล่ง ๆ ไม่รอช้าทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังทดสอบรถ Eco Car จะไปคาดหวังกับสมรรถนะช่วงล่างและความเร็วปลายไม่ได้นัก
Honda Brio
ด้วยขุมพลัง 1.2 ลิตร 90 แรงม้า อัตราเร่งออกตัวจัดจ้าน จับอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยการนับในใจ คะเนได้ประมาณ 15 วินาที ส่วนความเร็วช่วงกลาง 80-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Brio ก็น่าประทับใจกว่าคู่แข่ง

ครั้นถึงช่วงความเร็วปลาย 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เริ่มออกอาการเหี่ยวและแป้กอยู่ที่ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะคิกดาวน์หรือลงมาที่โหมดเกียร์ S พร้อมปิดแอร์ ก็สุดที่ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (Nissan March เกียร์ธรรมดาไหลถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกียร์อัตโนมัติ CVT ไหลถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ประเด็นนี้ดูจะไม่ถูกใจสื่อมวลชนหลายคนนัก (วิศวกรญี่ปุ่นบอกว่าล็อกความเร็วไว้) แต่สำหรับผมไม่มีปัญหา เพราะนี่คือ Eco Car ได้เท่านี้ก็หรูแล้ว

ขณะหวดความเร็วที่ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะยกคันเร่ง ความเร็วลดมาอยู่ที่ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเจอฝนกระหน่ำ เหลือบไปที่บานกระจกหลัง ซึ่งเป็นเสมือนประตูบานที่ 5 พร้อมคลำหาโหมดเปิดใบปัดน้ำฝนหลัง ปรากฏว่าไม่มี ผมภาวนาอย่าให้ละอองโคลนเกาะบานกระจกมากกว่านี้ เพราะไม่อยากจอดรถลงไปเช็ด และเหลือระยะทางขับขึ้นลงบนดอยตุงอีกหลายสิบกิโลเมตร (ผลวิจัยวิศวกรญี่ปุ่นระบุว่า อัตราจับฝุ่นละอองใกล้เคียงรถซีดานและไม่ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่) งานนี้ขอเถียงว่า ไม่จริง! เพราะประสบมากับตัวเองมา

ช่วงล่างหนึบดีกว่าที่คาด

และแล้ว...ไฮไลต์ของการทดสอบก็มาถึง กับเส้นทางลาดชันผสมทางโค้งบนดอยตุง เป็นโจทย์ท้าทายคนขับ และยังเป็นความตั้งใจของฮอนด้าที่หวังให้สื่อมวลชนและลูกค้าได้ประจักษ์จุด เด่นของระบบช่วงล่าง รวมถึงการตอบสนองระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT และขุมพลังเครื่องยนต์

งานนี้ไม่มีมีใครยอมใคร ทั้งบด-อัด-ยัดเกียร์-ใส่ความเร็ว-สาวพวงมาลัยกันไม่ยั้ง ทำให้ทุกคนขับอย่าง
เพลิดเพลินกันเต็มเหนี่ยว ไร้เสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร ขากลับเข้าตัวเมืองเชียงราย ทุกคนยังคงสนุกกับการขับขี่กันอย่างเต็มที่ ผมพยายามค้นหาข้อเสนอแนะต่อวิศวกรญี่ปุ่นในช่วง Q&A ภายใต้ความเป็นรถ Eco Car แต่ค้นหายากพอสมควร ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันดูค่าเฉลี่ยแล้วบริโภคเฉลี่ย 14 กิโลเมตรต่อลิตร นอกจากเรื่องคาใจคือ ใบปัดน้ำฝนหลัง บานกระจกหลัง และความแข็งแรงของคานด้านท้ายเพื่อรองรับกับการชนปะทะด้านหลัง
สรุป...สมรรถนะดีกว่าที่คาด

จากการทดสอบต้องยอมรับว่า Honda Brio รถ Eco Car ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เป็นรถเล็กที่มีดีเกินตัว ภายนอกและภายในโฉบเฉี่ยวทันสมัย ช่วงล่างไว้วางใจได้ แม้จะขับด้วยความเร็วสูงระดับ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขุมพลังจัดจ้านเร้าใจตั้งแต่ตีนต้นถึงกลาง สามารถขับใช้งานในเมืองได้อย่างคล่องตัว จะเอาไปขับเที่ยวไกล ๆ ก็พอไหว แต่ถ้าใครอยากได้คงต้องรอยาวไม่น้อยกว่า 4-5 เดือนถึงจะรู้ว่าภาวการณ์ผลิตรถปรกติของ Brio จะเริ่มเมื่อไหร่

เทียบรุ่น Brio&March
ความเหมือนบนความต่าง

ต้องยอมรับว่า การพัฒนา Honda Brio ถือเป็นความท้าทายของฮอนด้าเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นรถ Eco Car คันแรกที่ฮอนด้าญี่ปุ่นเคยผลิต โดยวิศกรบอกว่าต้องใช้ความพยายามหลายด้าน เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ผลิตรถเล็กภายใต้ข้อจำกัดที่ทาง BOI เมืองไทยกำหนด ทั้งขนาด สมรรถนะ อัตราประหยัด เซฟตี้ ราคาย่อมเยารวมถึงดีไซน์ตัวรถที่มุ่งเป้าให้เตะตาต้องใจคนรุ่นใหม่และ ผู้หญิงเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Honda Brio ถูกจับคู่ให้ชกกับ Nissan March คู่แข่งสำคัญไปโดยปริยาย และถูกคาดหวังไว้สูงว่าต้องตอบโจทย์รอบด้านของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว เรามาดูกันต่อว่า รถทั้ง 2 รุ่นนี้มีความเหมือนบนความแตกต่างในจุดใดกันบ้าง
Honda Brio มีให้เลือกใช้ 3 รุ่น คือ รุ่น S เกียร์ธรรมดา ราคา 399,900 บาท รุ่น V เกียร์ธรรมดา ราคา 469,500 บาท และรุ่น V เกียร์อัตโนมัติ ราคา 508,500 บาท ส่วนมาร์ชมีถึง 6 รุ่นให้เลือก คือ เกียร์ธรรมดา 2 รุ่น ประกอบด้วย รุ่น S ราคา 375,000 บาท และรุ่น E 425,000 บาท ส่วนเกียร์อัตโนมัติมีรุ่น E ราคา 459,000 บาท รุ่น EL ราคา 489,000 บาท รุ่น V ราคา 507,000 บาท และรุ่น VL ราคา 537,000 บาท
Honda Brio
ขุมพลังแบบเบนซิน 1.2 ลิตรเหมือนกัน โดย March เป็นแบบ 3 สูบ 79 แรงม้า ส่วน Brio เป็นแบบ 4 สูบ 90 แรงม้า ระบบส่งกำลังเหมือนกันคือ อัตโนมัติแบบ CVT และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด จะว่าไปแล้ว โจทย์ของขุมพลัง Brio นั้นค่อนข้างทำยากกว่า เพราะนอกจากจะต้องให้มีกำลังแรงแล้ว ยังต้องคำนึงถึงเรื่องประหยัด
มิติตัวถัง March ใหญ่กว่า Brio นิดหน่อย โดยเฉพาะห้องโดยสาร (March/Brio) 3,780/3,610 มม. กว้าง 1,665 /1,680 มม. สูง 1,515/1,485 มม. ระยะฐานล้อ 2,450/2,345 มม. ส่วนน้ำหนักก็ต่างกันเล็กน้อยราว 25-50 กก.
สำหรับสนนราคากับออพชั่นที่จัดใส่มา รุ่นเกียร์ธรรมดาของ March ตัวถูกสุดราคา 375,000 บาท กับ Brio ราคา 399,900 บาท Brio มีแอร์พร้อมกระจกไฟฟ้าเฉพาะบานคู่หน้า แต่ไม่มีเครื่องเสียง ส่วน March กระจกเป็นแบบมือหมุนทั้ง 4 บาน และมีแค่ถุงลมนิรภัยเฉพาะฝั่งคนขับ แต่ Brio อัดอุปกรณ์ความปลอดภัยมาครบ ทั้งเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมนิรภัยคู่หน้า แต่หากดูโดยรวมแล้ว March ให้ออพชั่นมากกว่า
Honda Brio
ระบบปรับอากาศ Brio เป็นแบบธรรมดา ขณะที่ March เป็นแบบอัตโนมัติ ระบบเครื่องเสียง March รองรับวิทยุ CD/MP3 1 แผ่น เสริมช่องต่อ AUX ลำโพง 4 ตัว ส่วน Brio ไม่มีช่อง CD แต่เพิ่มช่อง USB และรูต่อ AUX แทน ลำโพง 2 ตัว
Nissan March มีจุดเด่นที่ระบบ Idling Stop โดยเครื่องยนต์จะหยุดทำงานเมื่อมีการจอดรถสนิท และสตาร์ตอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์เหยียบคันเร่ง ขณะที่เทียบรุ่นระหว่างตัวท็อปด้วยกัน March ราคาแพงกว่า Brio 30,000 บาท แต่ได้ออพชั่นเพียบ และเพิ่มกระจกมองข้างไฟฟ้า มาตรวัดแสดงผลผ่านหน้าจอ Multi-display กุญแจอัจฉริยะ ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ และเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง 4 จุด


Honda CR-V : ควงเครื่อง 2 ลิตรลุยญี่ปุ่น

   ทิ้งระยะจากการเปิดตัวรุ่นขายจริงในสหรัฐอเมริกาได้ไม่นาน ทางด้านฮอนด้าก็ส่งซีอาร์-วีใหม่ ลุยตลาดทันที แต่มาพร้อมกับความแตกต่าง ซึ่งไม่ใช่ที่หน้าตา แต่เป็นทางเลือกของเครื่องยนต์ที่ในคราวนี้นอกจากจะมีรุ่น 2,400 ซีซีแล้ว ยังควงคู่ 2,000 ซีซีมาเป็นอีกทางเลือกสำหรับเวอร์ชัน JDM
      
       ในรุ่นใหม่ถือเป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของคอมแพ็กต์เอสยูวีรุ่นนี้นับจากฮอนด้าเปิดตัวรุ่นแรกในปี 1995 โดยการเปิดตัวเวอร์ชันจำหน่ายจริงอย่างเป็นทางการมีขึ้นในงานแอลเอ มอเตอร์โชว์ 2012 เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ส่วนญี่ปุ่นเริ่มขายแล้วตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา 
      
       ตรงนี้ถือว่าเร็วมาก เพราะก่อนหน้านี้ซีอาร์-วีใหม่มีข่าวว่าจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมในเมืองไทย เนื่องจากมีชิ้นส่วนไม่เพียงพอต่อการผลิต และอาจจะทำให้ต้องเลื่อนการส่งมอบให้กับลูกค้า แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร สามารถเปิดตัวทำตลาดได้ทั้งในญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาซึ่งจะเริ่มขายตามหลังอีก 2 สัปดาห์ในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ ส่วนตลาดยุโรปต้องรอนานถึงเดือนมีนาคมปีหน้า ส่วนตลาดไทยที่ยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะมาช่วงไหน
      
       ในแง่ของหน้าตาระหว่าง JDM กับ U.S. version ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมาก เพราะซีอาร์-วีต่างจากซีวิค และแอคคอร์ด ซึ่งจะมีการปรับโฉมหรือเปลี่ยนรูปทรงของตัวถังไปตามแต่ละตลาดที่ถูกวางขาย แต่สำหรับเอสยูวีรุ่นนี้มีหน้าตาเดียวสำหรับขายทั่วโลก
      
       สำหรับในรุ่นใหม่นี้ยังคงเอกลักษณ์อะไรหลายๆ อย่างของซีอาร์-วีที่มีมาตั้งแต่รุ่นแรกเอาไว้ เช่น ไฟท้ายที่เป็นแนวตั้งสูงตามแนวของเสาหลังคาหลัง ส่วนรายละเอียดของรูปลักษณ์ภายนอกเน้นความสวยสปอร์ตที่แฝงด้วยความหรู ซึ่งสไตล์ที่ฮอนด้าพลิกโฉมใหม่กับซีอาร์-วีมาตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 3 
      
       ในแง่มิติตัวถัง ซีอาร์-วีใหม่มาพร้อมกับความยาวในระดับ4,535 มิลลิเมตร กว้าง 1,820 มิลลิเมตร สูง 1,685มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,620 มิลลิเมตร ส่วนน้ำหนักตัวถังอยู่ในระดับ 1,500-1,580 กิโลกรัมโดยรหัสตัวถังจะมาในรหัส RM ถ้าเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 2,000 ซีซีก็ใช้ RM1 และ RM4 สำหรับเครื่องยนต์ 2,400 ซีซี
      
       ทางเลือกที่ขายในตลาดถ้าต้องการแบบขับเคลื่อนล้อหน้าอย่างเดียว ลูกค้าต้องสัมผัสกับรุ่น 2,000 ซีซี ซึ่งใช้เครื่องยนต์รหัส R20A ที่เบ่งระยะชักของข้อเหวี่ยงจากเครื่องยนต์ R18A ซึ่งวางอยู่ในซีวิค ไม่ใช่ K20A โดยขุมพลังบล็อกนี้เป็นแบบ 4 สูบเรียง SOHC พร้อมระบบวาล์วแปรผัน i-VTEC มีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.5 กก.-ม. ที่ 4,300 รอบ/นาที จับคู่กับเกียร์ CVT แบบอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง ตัวเลขความประหยัดก็เลยออกมาสวยหน่อยในระดับ 15.4 และ 14.4 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับโหมดการทดสอบ 10-15 และ JC-08
      
       ส่วนรุ่น 2,400 ซีซีเป็นรหัส K24A แบบ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว i-VTEC ที่ได้รับการปรับปรุงให้ตอบสนองต่อการขับเคลื่อนด้วยตัวเลขแรงม้าและแรงบิดที่มากขึ้นจากรุ่นเดิม โดยกำลังสูงสุดอยู่ที่ 190 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.6 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที เป็นแบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ และส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ มีอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง 11.6 และ 12.4 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับ JC-08 และ 10-15
      
       ราคาของซีอาร์-วี JDM ตั้งเอาไว้ที่ 2.48-2.75 ล้านเยน ซึ่งเมื่อคิดเป็นเงินไทยตามเรทปัจจุบันแล้วจะอยู่ที่ 1.01-1.12 ล้านบาท และฮอนด้าตั้งเป้าการทำตลาดของซีอาร์-วีใหม่ในญี่ปุ่นเอาไว้ในระดับ 18,000 คันต่อปี ซึ่งถือว่าอาจจะต้องเจองานหนักหน่อย เพราะคู่ปรับอย่างมาสด้าก็ชิงเปิดตัว CX-5 ไปก่อนหน้านี้ไม่นาน
      
      

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม