สารพัดคำด่า ปัญหาน้ำท่วม




มีข้อความหลั่งไหลบนโลกโซ เชียลเน็ตเวิร์กบ่นถึงปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ หลายคนใช้เป็นพื้นที่ระบายความอัดอั้นตันใจ จึงขอเก็บความคิดเห็นต่างๆ มาฝาก เพื่อบอกถึงความรู้สึกของคนไทยกลุ่มหนึ่งในสังคม

“น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”
นี่คืออีกหนึ่งความเห็นบนโลกออนไลน์ สะท้อนอะไร ถึงใครได้บ้าง?

ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา คนไทยต้องผจญกับภัยน้ำท่วมอย่างแสนสาหัส ใครที่ไม่เคยประสบพบเจอจึงเตรียมรับมือไม่ทันควัน น้ำท่วม ปี 2554 จึงถูกบันทึกลงหน้าประวัติศาสตร์ เพื่อย้ำเตือนความเสียหาย และเป็นประสบการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นกับคนไทย

ต้องยอมรับว่าคนไทยเกือบครึ่งประเทศ อยู่ในภาวะชอกช้ำ และขวัญหนีดีฟ่อกับอุทุกภัยครั้งนี้ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน ประชาชนได้รับความเดือดร้อนเกือบ 3 ล้านครัวเรือน หรือมีประชาชนราว 9 ล้านคน รวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง และขณะนี้ความเสียหายจากน้ำท่วมยังขยายตัวเป็นบริเวณกว้าง

ปัญหาต่างๆ นานาประดังเข้ามาพร้อมกับน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นโจรสลัดน้ำจืด แม้ว่าจะเกิดวิกฤติเลวร้ายแค่ไหน ชาวบ้านหลายคนก็ไม่กล้าทิ้งบ้าน โดยเฉพาะผู้เฒ่า ผู้แก่ที่บอกว่า “ขอยอมตายที่บ้านดีกว่าไปตายที่อื่น” โจรชุกในสถานการณ์เช่นนี้ ตำรวจพื้นที่จึงตั้งสายตรวจเจ็ตสกีเพื่อตรวจตรา ดูแลความเรียบร้อย เสียงเจ็ตสกีดังมาที หัวขโมยก็กระโดดน้ำหายต๋อม...แล้วชาวบ้านจะหมดห่วงได้ยังไง

“ท่วมฝั่งนี้แล้วทำไมไม่ท่วมฝั่งนั้น”
เรื่องการเปิดประตูระบายน้ำ และสร้างคันกั้นน้ำเป็นปัญหาใหญ่ในพื้นที่น้ำท่วมถึงหลายจังหวัด เนื่องจากชาวบ้านทะเลาะกันอย่างไม่มีใครฟังใคร เป็นประเด็นให้ชาวเฟชบุ๊กแห่เข้ามาคอมเมนต์กันกระจาย
“คาดไม่ถึง หรือใจไม่ถึงที่จะผันน้ำไปสุพรรณกันแน่!”
“สุพรรณท่วมเท่ากับ1/3 ของลพบุรี ชัยนาท ทำไม บึงฉวากไม่มีน้ำ ทั้งๆ ที่เป็นแก้มลิงแต่โบราณ”
“ก็แค่คำนวณมวลน้ำผิด แล้วไง รับผิดชอบไหวไหมกับความเสียหายที่เกิดขึ้น”

ชาวทวิตเตอร์ก็ใส่ความเห็นกระหน่ำไม่ แพ้กัน ข้อความของหนูดี สาวอัจฉริยะข้ามคืนก็กลายเป็นวาทะร้อนแห่งปี ซึ่งถูกหยิบยกขึ้นมาในสถานการณ์เช่นนี้ที่ใครๆ ต่างพูดถึง “ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิตค่ะ พูดแล้วจะร้องไห้...น้ำท่วมไม่กลัว กลัวอย่างเดียว...ผู้นำโง่ เพราะพวกเราจะตายกันหมด”

ข้อความนี้กระจายออกไปบนโลกออนไลน์ หลายคนเก็บอาการไม่อยู่ จึงขอใช้พื้นที่แสดงความเห็นในแบบสังคมประชาธิปไตยบ้าง ต่างระบายอย่างคนอัดอั้นมานาน
“ระวังการกล่าวหาว่าผู้นำโง่ เพราะอาจเจอโทษถึงสองคดี หนึ่งคือคดีหมิ่นประมาท และสองคือคดีเปิดเผยความลับทางราชการ”
“รัฐบาลและ กทม.ไม่ได้มีข้อมูลอะไรปกปิด ปชช. แน่นอนครับ ผมรับรอง เพราะแม่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“เอาปัญญาชนมากรอกทราย แล้วเอา 'ควาย' มาวางแผน”
“ประชาชนเขาปรับตัวอยู่กับน้ำ พอๆ กับปรับตัวอยู่กับพวกแกน่ะแหละ รัฐบาล”
“สรุปสั้นๆ ว่า ประชาชนต้องช่วยเหลือตัวเอง รัฐไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้”

ภาพการยื้อแย่งของบริจาคราวกับถูก ปล้นสะดม สะท้อนให้เห็นว่าเราคนไทย ตัวใครตัวมันเสียแล้ว จะหวังรอภาครัฐเข้าช่วยเหลือก็คงไม่ทันการณ์ สถานการณ์นี้ชาวบ้านอยู่ในลักษณะปากกัดตีนถีบ ที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้ก็ต้องช่วยตัวเองไปตามยถากรรม

ชาวบ้านบางคนเกิดอาการเครียดจากพิษ น้ำท่วม ไหนจะเรื่องอาหารที่ไม่เพียงพอ หมู่บ้านด้านในไม่ได้รับน้ำและอาหาร จะเดินทางออกมาก็ไม่สะดวกนัก คิดจะโดยสารเรือ ค่าเรือก็แพงสูงลิบกว่าที่ควรจะเป็นหลายเท่าตัว จะออกมาก็คงไม่คุ้ม รวมทั้งกระสอบทรายที่จะนำมาทำเป็นคันกั้นน้ำ เฮียก็โก่งราคาขายกระสอบละ 100 บาท โอ้แม่เจ้า! ช่างเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสบนความทุกข์ยากของผู้อื่นจริงๆ

แต่ถึงอย่างไรประเทศไทยก็ยังมีภาพดีๆ จากการร่วมสมทบเงินบริจาคของคนหลายกลุ่ม ทั้งบุคคลและนิติบุคคล น้ำใจคนละเล็กละน้อย ร่วมด้วยช่วยกัน ทำให้ตอนนี้ยอดเงินบริจาคในหลายภาคส่วนมีอยู่ไม่น้อย เห็นได้จากยอดเงินบริจาคผ่านช่องโทรทัศน์น้อยสี ซึ่งมีมากถึง 200 กว่าล้านบาท

จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงเป็นประสบการณ์ให้ได้คิดและหาทางแก้ไข เพื่อเตรียมรับมือกับภัยธรรมชาติต่อไป ไม่ว่าประเทศไทยจะเจอเรื่องสาหัสหนักหนาแค่ไหน ถ้าคนไทยรวมพลังและเห็นอกเห็นใจกันในยามคับขัน ก็จะนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤติไปได้ด้วยดี

หวังว่าทิศทางของผู้นำ คงไม่ซ้ำรอยเดิม...

FW



0 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม