Nissan Lafesta Highway Star : โคลนนิ่ง Mazda 5


ตอนแรกนึกว่านิสสันขยับตัวลงทุนสร้างสีสันให้กับตลาดมินิแวนไซส์คอมแพกต์ เพื่อเสริมทัพด้วยทางเลือกที่แตกต่างจากเซเรนา ซึ่งตรงนี้ก็จริงที่นิสสันมีทางเลือกใหม่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดลงทุนครั้งใหญ่ แต่เลือกที่จะขอยืมผลผลิตจากมาสด้าอย่างรุ่นพรีมาซี่ในญี่ปุ่น หรือมาสด้า 5 ในตลาดโลกมาแต่งหน้าทาปากใหม่ และขายในบ้านตัวเองด้วยชื่อลาเฟสตา ไฮเวย์ สตาร์

ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรือแปลก เพราะผู้ผลิตรถยนต์ในญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรกันต่างก็ใช้วิธีนี้ในการสร้างยอดขายในบ้านตัวเองกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และมีปฏิบัติกันมานานแล้ว จนถือเป็นเรื่องปกติ เพราะบางครั้งการยึดมั่นในแบรนด์ของลูกค้ามีมาก แต่ผู้ผลิตไม่สามารถตอบสนองด้วยทางเลือกที่ครบถ้วน การลงทุนผลิตพัฒนาขึ้นมาใหม่อาจจะไม่คุ้มเท่ากับการหยิบยืมของที่มีอยู่แล้วในตลาดมาแต่งหน้าใหม่ เพื่อสร้างความแตกต่าง...แม้จะน้อยนิดก็ตาม

ตรงนี้ถือว่าเป็นการเข้ามาช่วยเสริมตลาดให้กับลาเฟสตา ไฮเวย์ ซึ่งแต่เดิมมีแต่รุ่นจอย (Joy) เท่านั้นที่ทำตลาด โดยในรุ่นสตาร์เป็นการนำพรีมาซี่ของมาสด้ามาขายตามแนวทาง OEM- Original Equipment Manufacturer ขณะที่รุ่นจอย เป็นทางนิสสันพัฒนาขึ้นมาเอง และไม่ได้เกี่ยวข้องกันในเชิงวิศวกรรม

ตำแหน่งทางการตลาดของไฮเวย์ สตาร์ก็แยกชัดเจนจากจอย เพราะเป็นกลุ่มที่เน้นลูกค้าที่กำลังมองหาความอเนกประสงค์ที่ให้อารมณ์ในการขับเหมือนกับรถยนต์นั่งเหมือนกับฮอนด้า สตรีท และโตโยต้า วิช

เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตจากมาสด้าแล้ว จะพบกับความแตกต่างในด้านรูปลักษณ์ด้านหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งในลาเฟสตา ไฮเวย์ สตาร์จะมาพร้อมกับกระจังหน้าทรงเหลี่ยมพร้อมกับแถบโครเมียมคาดยาว เช่นเดียวกับกันชนหน้าก็ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อไม่ให้เหลือเค้าโครงเดิมของมาสด้าที่ดูคล้ายกับหน้าคนกำลังยิ้ม

ส่วนไฟหน้าก็ยังเป็นทรงเดิม เช่นเดียวกับด้านท้ายที่เปลี่ยนรายละเอียแค่นิดหน่อย เช่น เลนส์ของไฟสัญญาณถอยหลังที่เปลี่ยนมาเป็นแบบใสแทน ส่วนในห้องโดยสารก็เช่นเดียวกัน ยกมาทั้งชุด เปลี่ยนแค่โลโก้บนฝาครอบถุงลมนิรภัยบนพวงมาลัยเท่านั้นเอง และยังให้ความสะดวกด้วยระบบไฟฟ้าควบคุมการเปิด-ปิดของประตูบานท้าย

ขับเคลื่อนเร้าใจด้วยเครื่องยนต์ 4 สูบ 2000 ซีซี พร้อมระบบ Di จ่ายน้ำมันเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง พร้อมกับมีการติดตั้งระบบ Idling Stop เพื่อดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเวลารถจอดติดอยู่กับที่ เพื่อช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดการคายไอเสียเวลาจอดอยู่ท่ามกลางการจราจรที่แออัด

ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า เครื่องยนต์บล็อกนี้ผลิตกำลังออกมาได้ 150 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 19.0 กก.-ม. ที่ 4,500 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ กำลังจะลดลงมาอยู่ที่ 139 แรงม้า ที่ 6,500 รอบ/นาที เช่นเดียวกับแรงบิดที่หล่นลงมาอยู่ที่ 17.8 กก.-ม. ที่ 4,000 รอบ/นาที เช่นเดียวกับเกียร์ก็ลดไป 1 จังหวะเป็นแบบอัตโนมัติ 4 จังหวะ ส่วนความประหยัดน้ำมันอยู่ในระดับ 16 กิโลเมตร/ลิตรสำหรับมาตรฐานการทดสอบในโหมด 10-15 โดยเป็นตัวเลขของรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า

ทำตลาดแล้วในญี่ปุ่น และนิสสันก็หวังว่าจะสามารถกวาดลูกค้าได้เดือนละ 1,000 คัน ส่วนราคาขายในญี่ปุ่น ก็ตั้งเอาไว้ที่ 1,991,850-2,483,150 เยน หรือประมาณ 759,000-943,000 บาท




0 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม