การทำงานคือการปฏิบัติธรรม แล้วทำงานอย่างไรจะลดกิเลสได้คะ? สาเหตุที่ทำให้งานหนักงานเบา เกิดจากปัจจัยหลายด้านด้วยกัน เช่น ถ้าทำงานโดยจมไปกับงานเป็น กัมมรามตา อย่างบางคนดูแลโรงครัว ก็จะกลายเป็นเจ้าแม่โรงครัว พยายามที่จะบังคับให้คนวางชาม วางถ้วย วางช้อน อย่างที่ตัวเอง ยึดเอาไว้ จนลืมวางใจ จนลืมเจริญเมตตากายกรรม เจริญเมตตาวจีกรรม เจริญเมตตามโนกรรม ปล่อยให้ "อัตตา" เจริญรุ่งเรืองอย่างเดียว อันนี้ก็ทำให้งานเราหนัก และก็ขาดความเจริญในธรรม ๒. งานจะหนักถ้าเราไม่ได้ลดความสำคัญของตัวเอง ปกติทางภาคอีสานจะมีสำนวนที่พูดติดปากก็คือ "แล้วแต่หมู่" แต่คนที่ให้ความสำคัญกับตัวเองก็จะมีแต่ "แล้วแต่กู!" โดยเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ถ้าไม่ได้ อย่างที่ใจฉันกำหนด -ใจฉันต้องการ ก็เลิกกันไปเลย อันนี้ก็เป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้งานหนัก เพราะว่าไม่ได้ลด ความสำคัญของตนลงเอา อัตตาธิปไตย เอาตัวเองเป็นใหญ่ ประเด็นนี้ก็ทำให้งานหนัก เพราะไม่ได้ลด ความสำคัญ ของตนลงไป ดังนั้นคนจะทำงานเบาได้เราก็คงต้องตั้งจิตเป็นผู้รับใช้มากกว่าที่จะตั้งจิตเป็นผู้จัดการ หรือ เลือกทำงาน ประเภท ที่จะได้หน้าได้ตา เพื่อหวังเจริญในอัตตา หรือเจริญในโลกธรรม บางคนระบายออกมาว่าเสียความรู้สึกมากๆ ที่มีความตั้งใจจะช่วยงานพ่อท่านอย่างแรงกล้า แต่ก็ถูกขัดขวาง ไม่ให้ เขาทำงาน เช่น การออกทีวี อย่างนี้เป็นต้น ก็น่าเห็นใจ ว่างานที่จะช่วยพ่อท่าน มีมากมาย เช่น ช่วยล้างถ้วย ล้างชาม ทำ ๕ ส. เก็บขยะ แต่บางคนก็มีปัญญา เข้าใจแต่เพียงว่า ตัวเองเหมาะ ที่จะได้ออกทีวี เท่านั้น ก็เป็นการที่ไม่รู้ตัว และคัญตัว มากเกินไป จนไม่ได้พยายามที่จะลด ความสำคัญของตัวเอง ซึ่งปัญหาของ ชาวอโศก ที่พ่อท่านหนักอยู่ ทุกวันนี้ก็คือว่า แต่ละคนทำงานกันไปแล้ว ไม่สามารถลด ความสำคัญ ของตัวเองลงไปได้ จึงไม่เกิดความอบอุ่น มีแต่ความขัดแย้ง หรือมุ่งที่จะเอาชนะ คะคานกัน
๑. การทำงานนั้น ถ้าทำงานไปแล้วมีแต่หนักหน้าไปเรื่อยๆ ก็แสดงว่าน่าจะผิดทาง แต่ถ้าทำงานไปแล้วมี แต่กาย เบา จิตเบาขึ้น เพราะเชี่ยวชาญชำ นาญขึ้น แม้งานจะมากขึ้นก็ตาม นั่นก็แสดงว่าถูกทางแล้ว
ขอบคุณ : asoke.info
จิตผู้รับใช้ หรือ จิตผู้จัดการ
ป้ายกำกับ:
ธรรมะ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น