มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ความประหยัด ที่ต้องแลกด้วยเวลา...

ช่วงนี้คงไม่มีเรื่องไหนที่มีผลกระทบกับผู้ใช้รถเท่ากับเรื่องราคาเชื้อเพลิงที่สูงอย่างในปัจจุบันนี้(ถึงแม้จะลดราคาลงมาก็ยังแพงอยู่ดี) โดยทางผู้ใช้รถส่วนใหญ่ก็ต้องหาทางออกช่วยเหลือตัวเองเพื่อให้สามารถลดภาระด้านเชื้อเพลิงกันไปต่างๆนานา ซึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาวุ่นวายหลายอย่างตามมาจากความไม่ได้มาตราฐานในการปรับแต่งรถให้ใช้งานเชื้อเพลิงทางเลือกต่างๆได้

ทางค่ายรถยนต์มิตซูบิชิก็มองเห็นความต้องการของผู้ใช้รถในปัจจุบัน จึงออกรถที่ติดตั้งเชื้อเพลิง CNG ที่ให้ทั้งความประหยัด และปลอดภัยในการเดินทางใช้งาน พร้อมการรับประกันคุณภาพจากบริษัทเหมือนเดิม เรียกได้ว่าใช้กันแบบสบายใจกันไปเลย ซึ่งมีทั้งรถยนต์ และรถกระบะให้เลือกใช้ตามความต้องการ

Mitsubishi Triton Doublecab Plus CNG

โดยครั้งนี้ ทีมงาน eCAReasy.com ได้มีโอกาสนำเอา มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ที่มีจุดเด่นเรื่องประหยัดน้ำมันจากการเลือกใช้พลังงานได้ 2 ระบบ Bi-Fuel โดยใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน E20 และก๊าซธรรมชาติ CNG แถมยังนั่งโดยสารกว้างขวางสะดวกสบายในแบบ 4 ประตู มาลองกันแบบทางยาวๆ

สำหรับรูปแบบที่ทางทีมงาน eCAReasy.com เลือกใช้ทดสอบก็คือการใช้งานเดินทางในชีวิตประจำวันแบบจริงๆ เพราะเป็นลักษณะที่ผู้ใช้รถส่วนใหญ่ใช้กันมากที่สุด ตามไปดูกันเลยดีกว่าครับ...

Mitsubishi Triton Doublecab Plus CNG

แรกเห็นรูปโฉมตัวรถ รวมไปถึงภายในห้องโดยสารของ "ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG" ตัวนี้ก็ยังคงให้ความแข็งแกร่ง บึกบึน อเนกประสงค์ และยังมีพื้นที่เพียงพอกับการบรรทุกของด้านหลังพอควร ความกว้างขวางสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ก็ไม่ได้แตกต่างจากไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส รุ่นอื่นๆ โดยมีระบบเครื่องเล่นวิทยุ DVD, VCD, CD, MP3 พร้อมจอสัมผัสแบบ Wide Screen ขนาด 7 นิ้ว เพื่อความบันเทิงในการเดินทาง จะแตกต่างจากรุ่นอื่นๆ ก็คือ การติดตั้งระบบก๊าซ CNG จากโรงงานมาให้เป็นมาตราฐาน

หัวใจสำคัญของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG มากับขุมพลังเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 128 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 194 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมเทคโนโลยี Bi Fuel System ที่เลือกใช้เชื้อเพลิงได้ 2 ระบบ ทั้งแก๊ส CNG และน้ำมันเบนซิน E20 หรือที่ทางมิตซูบิชิเรียกว่าระบบ ไฮเทค CNG ที่จะทำการปรับเปลี่ยนระบบได้อย่างนุ่มนวล แม่นยำ ด้วยการควบคุมจากกล่อง ECU ที่ถูกติดตั้งมาจากโรงงาน สะดวกสบายด้วยสวิตช์เลือกชนิดเชื้อเพลิง และไฟแสดงระดับเชื้อเพลิงที่เหลือ โดยไฟสีเขียวจะสว่างขึ้นเมื่อใช้ระบบก๊าซ CNG ส่วนไฟสีแดงจะสว่างขึ้นเมื่อใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเบนซิน

Mitsubishi Triton Doublecab Plus CNG

มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ออกแบบมาเพื่อความประหยัด และปลอดภัยในการเดินทาง และเป็นรายแรกที่ติดตั้งถัง CNG เป็นแบบ Type II ขนาด 100 ลิตร ที่มีน้ำหนักเบา (เบากว่าที่ใช้กันทั่วไป) ทนทาน ติดตั้งโดยวางถังไว้ที่ท้ายกระบะ พร้อมพื้นปูกระบะดีไซน์พิเศษ สวยงามกลมกลืนกับตัวกระบะ ทั้งยังมีฝาครอบถัง CNG เพิ่มความสวยงาม และยังสามารถถอดออกได้ เพื่อความสะดวกในการตรวจสอบดูแลถัง CNG อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังเพิ่มความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยด้วยการติดตั้ง ลิ้นเปิด-ปิดอัตโนมัติ 2 ตัว โดยจุดแรกติดตั้งบริเวณอุปกรณ์ลดความดัน จุดที่สองติดตั้งตรงวาล์วหัวถังก๊าซ ป้องกันก๊าซไม่ให้รั่วออกจากถังเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

Mitsubishi Triton Doublecab Plus CNG

สำหรับการเริ่มต้นของเรา หลังจากที่ทีมงาน eCAReasy รับรถมิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG จากมิตซูบิชิ สำนักงานใหญ่ ก็อยากบอกว่าได้สัมผัสถึงความนิ่มนวลของอัตราเร่งของเครื่องยนต์เบนซิน 2.4 ลิตร ที่เรียกว่าให้พละกำลังไม่น่าเกลียดเลย ถึงแม้บางจังหวะจะรู้สึกอืดไปบ้าง เมื่อเอาไปเทียบกับตัวที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล (จริงๆแล้วก็ไม่น่าเอาไปเทียบ..เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่ว่าแรงบิดเครื่องยนต์ดีเซลมันมากกว่าอยู่แล้ว) แต่เมื่อรู้จังหวะการใช้กำลังของเครื่องตัวนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรในการใช้งาน

จากการที่ได้ใช้งานมิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG อยู่สักพัก ก็สัมผัสได้เลยถึงค่าเชื้อเพลิงที่ต้องเสียไปในแต่ละครั้งนั้นถูกลงจากเดิมมาก แต่ก็มีเรื่องที่หลายคนเป็นกังวลในการที่จะใช้รถที่ติดตั้งก๊าซ CNG แบบนี้คือ เรื่องสถานที่เติมก๊าซ และระยะเวลาในการเติม ซึ่งอยากจะบอกว่าต้องทำใจอย่างเดียวเลยครับ กับช่วงเวลานี้ (คงต้องรอให้ ปตท ขยายปั้มอย่างเดียวครับ) ทั้งสถานที่เติมก๊าซที่มีไม่ทั่วถึงครอบคลุม และประสิทธิภาพของปั้มด้วยครับ อันนี้เจอมากับตัวเลยครับ เข้าไปรอคิวเติม ปรากฏว่า เติมได้แค่ครึ่งถัง ทั้งๆที่ไฟแสดงปริมาณก๊าซใช้ไปหมดถัง จากการสอบถามพนักงานที่ปั้มก๊าซ ก็ได้รับคำตอบว่า "แรงดันไม่พอ...เติมได้แค่นี้แหละครับ" ทำเอาเราเซ็งไปเลย...อุตสาห์ต่อคิวตั้งนาน...นี่ยังไม่รวมถึงกรณีที่ไปรอแล้วก๊าซหมดก่อนที่จะถึงคิวเรานะครับ แต่ข้อดีหรือว่ามองในแง่ดีอีกอย่างก็คือ มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ยังสามารถที่จะเติมน้ำมันเบนซินได้ในยามที่ไม่สามารถหาที่เติมก๊าซ CNG ได้

มีข้อสังเกตอีกอย่างที่ทีมงาน eCAReasy พบคือถ้าเราเติมก๊าซ CNG ในปั้มที่อยู่ในแนวท่อก๊าซ จะสามารถเติมก๊าซ CNG ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าปั้มทั่วไป หรือในปั้มทั่วไป ถ้ามีรถใช้บริการน้อยก็จะได้แรงดันในการเติมก๊าซที่ดีกว่า สรุปแล้วในเรื่องการเติมก๊าซ CNG ผู้ใช้จะต้องวางแผนในการใช้งานในระดับหนึ่งเลยทีเดียว แต่ก็น่าจะคุ้มกับค่าเชื้อเพลิงที่ลดลง

Mitsubishi Triton Doublecab Plus CNG

สำหรับด้านพละกำลังในการใช้งานมิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ก็สามารถให้อัตราเร่งได้เพียงพอกับการใช้งาน ถึงแม้บางครั้งจะต้องอาศัยจังหวะในการเรียกพลังอยู่บ้าง แต่ก็อย่างที่เรารู้ๆกันว่า มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG นี้ ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความประหยัดค่าเชื้อเพลิงในการใช้งาน และจากที่ทีมงาน eCAReasy เราทดลองใช้งาน ขอบอกว่าในยามที่หาก๊าซ CNG เติมไม่ได้นั้น การใช้งานในแบบระบบน้ำมันเบนซินอย่างเดียวก็ให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าพอใจเกินคาด รวมถึงอัตราเร่งก็ไม่ได้แตกต่างกันซักเท่าไรระหว่างเชื้อเพลิงก๊าซ CNG กับน้ำมันเบนซิน ทั้งๆที่เป็นเครื่องเบนซิน 2.4 ลิตรก็ตาม เรียกว่าถ้าหาก๊าซ CNG เติมไม่ได้ ก็วิ่งน้ำมันอย่างเดียวก็ได้ โดยอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าพอใจเกินคาดน่าจะมาจากรอบเครื่องยนต์ที่อยู่ในอัตราที่พอรับได้ คือ ความเร็ว 100 กม./ชม. ที่ 3000 รอบ, ความเร็ว 90 กม./ชม. ที่ 2600 รอบ, ความเร็ว 80 กม./ชม. ที่ 2200 รอบ

Mitsubishi Triton Doublecab Plus CNG

มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG นอกจากจะให้ความประหยัดในการใช้เชื้อเพลิงที่หลากหลายแล้ว สำหรับความสะดวกสบาย จากห้องโดยสารทั้งในตำแหน่งผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร ก็สร้างความประทับใจให้ทีมงาน eCAReasy อยู่ไม่น้อย รวมถึงสมถรรนะการเกาะถนน ช่วงล่าง ระบบเบรคที่ไว้ใจได้ การบังคับควบคุมพวงมาลัย วงเลี้ยวที่จัดว่าคล่องตัวในพื้นที่จำกัด และยังคงสไตล์ของรถมิตซูบิชิไว้เหมือนเดิม

สุดท้ายนี้ทีมงาน eCAReasy อยากบอกว่า มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG สามารถตอบโจทย์เรื่องความประหยัดค่าเชื้อเพลิงในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าหากผู้ใช้ต้องใช้งานในพื้นที่ที่ไม่มีสถานที่เติมก๊าซ CNG หรือหาเติมยาก ก็คงต้องชั่งใจก่อนครับ ว่ารับได้หรือเปล่า...ถ้ารับได้...มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ก็คงเป็นคำตอบที่ลงตัวเหมือนกันในเวลานี้....

สำหรับราคาค่าตัวของ มิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG ตัวนี้อยู่ที่ 7.92 แสนบาท กับการรับประกันนานถึง 3 ปี ที่ 100,000 กิโลเมตร คงทำให้มั่นใจขึ้นในการเลือกคบกับมิตซูบิชิ ไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ พลัส CNG นะครับ....

เปิดตัวซีดานหรู… Audi A8 Hybrid

อาจจะทิ้งช่วงไปนานพอควรหลังการเปิดตัวรถยนต์ต้นแบบของ Audi A8 Hybrid Concept ในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ ปี 2010 (Geneva Motor Show 2010) ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุด ออดี้ ก็ได้เปิดตัวรถยนต์รุ่น A8 ไฮบริด โดยเตรียมทำตลาดในปี 2012 และจะมีการเปลี่ยนแปลงจากต้นแบบเล็กน้อย โดยเปลี่ยนขนาดล้อแม็กจากต้นแบบ 21 นิ้ว เป็น 18 นิ้วในรุ่นโปรดักชั่น แต่ยังคงเป็นลายเดียวกัน และเปลี่ยนฝาครอบเครื่องยนต์ใหม่

Audi A8 Hybrid

Audi A8 Hybrid

ส่วนเครื่องยนต์จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นแบบ ยังคงเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2,000 ซีซี เทอร์โบ TFSI ให้กำลังสูงสุด 211 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.66 กก.-ม. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ามีกำลัง 40 กิโลวัตต์ หรือ 54 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 21.39 กก.-ม. โดยงานนี้ออดี้กล่าวว่า Audi A8 Hybrid จะมีกำลังขับเคลื่อนรวม 245 แรงม้า และแรงบิด 48.9 กก.-ม. ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใน 7.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ด้านหลัง Audi A8 Hybrid

ด้านหลัง Audi A8 Hybrid

โดยผู้ขับจะสามารถเลือก 3 โหมดการขับ ซึ่งประกอบไปด้วย EV มอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ, D ใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า และ S สำหรับการขับแบบสปอร์ต ในโหมด EV สามารถทำความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และถ้าใช้ความเร็วคงที่ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะขับได้ระยะทางเกือบ 3 กิโลเมตร

ภายใน Audi A8 Hybrid

ภายใน Audi A8 Hybrid

โดยมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีรูปทรงคล้ายแผ่นดิสก์ จะติดตั้งในตำแหน่งเดียวกับทอร์คคอนเวอร์เตอร์ ด้านหน้าจะมีเกียร์ทิปทรอนิกส์ 8 จังหวะ ที่ได้รับการปรับเปลี่ยนให้รองรับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อส่งกำลังไปยังล้อคู่หน้า โดยจะเก็บไฟฟ้าไว้ในแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนที่มีน้ำหนัก 36.7 กิโลกรัม ติดตั้งในจุดที่ไม่ถูกกระแทกจากการชน

เครื่องยนต์ Hybrid

เครื่องยนต์ Hybrid

ส่วนอัตราสิ้นเปลืองจากการทดสอบของ EU จะอยู่ที่ประมาณ 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร และคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ต่ำกว่า 148 กรัมต่อกิโลเมตร

สัญลักษณ์ Hybrid

สัญลักษณ์ Hybrid

ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกรุ่นพื้นฐาน จะมีล้อแม็กลายกังหันขนาด 18 นิ้ว (19 นิ้วเป็นออฟชั่นเสริม) ตราสัญลักษณ์เฉพาะรุ่น และสีพิเศษ Arctic Silver รวมทั้งการแสดงผลภายในรถ ส่วน ราคา ออดี้ A8 ไฮบริด คาดว่าจะเปิดเผยช่วงเดือนหน้าในงานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2011 (Frankfurt Motor Show 2011) ที่จะถึงนี้

แฟนๆ Audi ในบ้านเราคงจะต้องอดใจไปก่อน แต่ก็ไม่แน่ที่ ออดี้ A8 ไฮบริด จะมาอวดโฉมให้ชมกันในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปร 2554 (Motor Expo 2012) ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งอันนี้แฟนๆ ออดี้คงต้องติดตามกันต่อไปครับ

MPV…รถอเนกประสงค์ดีๆ ที่คนไทยมองข้าม

เมื่อมองในตลากรถยนตืที่ปัจจุบันมีรถยนต์มากมายหลากหลายยี่ห้อ มีการแข่งขันกันสูงขึ้นไม่ใช่เป็นเพียงแต่การยึดครองตลาดโดยเฉพาะรถยนต์ญี่ปุ่นแต่ก่อน ทว่าการเข้ามาของค่ายรถยนต์อเมริกา ต่างเป็นเกมใหม่ที่ต่างจากสมัยเจ้าคุณปู่ เพราะครั้งนี้พร้อมลุยในทุกตลาด

รถยนต์รุ่นใหม่หลายรุ่นที่เกิดขึ้นนั้น โดยมากนั้นอาจจะเป็นซิตี้คาร์ที่มีอยู่อย่างเกลื่อนเมือง แต่ในความเยอะของมันนี่เองที่ทำให้การจราจรติดขัด ซึ่งบางทีหนึ่งบ้านอาจจะมีรถหลายคัน แต่จะดีและสะดวกกว่าไหม ถ้ารถคันเดียวสามารถทำประโยชน์ได้มากมายตั้งแต่รับส่งลูก ทำงานไป จนถึงเที่ยวเล่นกับผองเพื่อน

Chevrolet Orlando

แน่นอนความคิดนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว และมันเป็นต้นไอเดียของรถยนต์อเนกประสงค์ ที่ก่อกำเนิดมาจากรถตระกูลแวน และมันยังคงอยู่จวบจนปัจจุบันในคราบ Multi-Purpose Vehicle หรือ MPV หรือที่ฝรั่งมังค่าชอบเรียกรถสไตล์นี้ว่ารถ mini Van

รถ MPV เป็นรถยนต์ที่เกิดขึ้นภายใต้ไอเดียที่ต้องการตอบสนองทุกกิจกรรมไปได้ในทุกไลฟ์สไตล์ แต่โดยมากจะเน้นหนักกลุ่มคนมีครอบครัว ที่มองเรื่องชีวิตของเจ้าตัวเล็กที่ลืมตาดูโลกเป็นพื้นฐานสำคัญเช่นเดียวกับความคุ้มค่าในการใช้ที่ต้องตอบโจทย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ถ้ามองดีเราจะพบว่ารถยนต์ประเภท MPV นั้นสามารถทำได้เช่นนั้นจริงๆ และมีราคาค่าตัวที่จะค่อนข้างสมเหตุสมผลสำหรับรถยนต์เพื่อครอบครัว ที่ปัจจุบันมันถูกแต่งแต้มความหรูหราเข้ามาคู่กับความทันสมัย หลายรุ่นมาพร้อมกับดีไซน์ที่สวยงาม แต่เมื่อมองดูเทียบกับการเติบโตในตลาดยานยนต์กลับพบว่า รถอเนกประสงค์ มีอัตราเติบโตที่ต่ำมาก ทั้งๆที่คนไทยซื้อรถกันบ่อยและมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อ แต่กลับลายเป็นว่า ละเลยรถยนต์กลุ่มที่อาจจะคุ้มค่าที่สุด แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าราคาค่าตัวอาจจะสูงอยู่พอตัว

New! Toyota Wish (ไม่มาไทย)

คำถามที่สำคัญคือ ทำไมคนไทยไม่สนใจหรือ ... ปัญหานี้คงยากที่เราจะหาคำตอบแต่ถ้าคุณต่อข้อคำถามว่าทำไมจะต้องซื้อในเมื่อเรามีสิทธิ์เลือกที่จะใช้รถตามต้องการ เรามีเหตุผลดีๆมาฝากว่า ทำไมรถตระกูล MPV ถึง น่าใช้

1.นั่งได้หลายคน..ทำได้หลายอย่าง ปฏิเสธไม่ได้ครับว่ารถยนต์ประเภท MPV นั้นเป็นรถที่น่าสนใจ โดยเฉพาะจำนวนที่นั่งที่มักประมาณ 7 ที่นั่งเป็นมาตรฐาน และบางรุ่นอาจจะมากกว่านั้น จำนวนที่นั่งที่เยอะนั้นอาจจะไม่ได้หมายความถึงความสะดวกสบายไปทั้งหมด แต่มันก็ย่อมต้องตอบสนองได้ ยิ่งเมื่อ 7 คนยังไปอย่างสบาย และ ถ้าน้อยกว่านั้นล่ะ ลองคิดดู แถมมันยังสามารถจุของได้นับไม่ถ้วนด้วยล่ะ

2.ลดค่าบำรุงรักษาและค่าน้ำมัน ถ้าคุณเป็นครอบครัวที่คุณและภรรยาหรือสามี มีรถคนละคันขับไปทำงานทั้งๆที่อยู่ใกล้กัน หรือสามารถไปรับไปส่งกันได้โดยไม่ยากเย็นนั้น การใช้รถ 2 คัน นอกจากจะเปลืองที่จอดในบ้านแล้ว มันยังสิ้นเปลืองในเรื่องของค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะค่าน้ำมันหรือค่าดูแลรักษาและไหนจะอีกจิปาถะ สู้ขาย 2 คันใช้รถอเนกประสงค์คันเดียวจะเข้าท่ากว่า

3.เพิ่มความอบอุ่นในครอบครัว ข้อเสียของการมีรถส่วนตัวคนละคันนั้นอยู่ที่การไม่ได้พูดคุยระหว่างการในครอบครัวทำให้เกิดความห่างเหิน และแน่นอนมันเป็นปัญหารากลึกที่ทำให้ครอบครัวไม่อบอุ่น การมีรถอเนกประสงค์ที่สามารถตอบสนองได้นั้น น่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสม โดยเฉพาะถ้าคุณกำลังมองการใช้ชีวิตแบบครอบครัวสุขสันต์ ลองขับ MPV ไปพร้อมภรรยาและลูกๆ จะรู้ว่าความสุขของการได้ทำเพื่อใครสักคนนั้นมีอยู่จริง

4.ลดปริมาณการจราจรบนถนน รถ 2 คัน เทียบเท่ากับพื้นที่ 8 เมตร ถ้าคำนวนจากรถยนต์ขนาดคอมแพ็คคาร์ที่ยาวประมาณ 4.3 เมตร แต่ MPV มีขนาดใหญ่สุดๆ ประมาณเพียง 6 เมตรเท่านั้น และมันยังตอบสนองการใช้งานได้หลากรูปแบบ แถมมันมีพื้นที่พอสำหรับความต้องการ อย่างงี้จะขับรถ 2 คันทำไม

5.ปลอดภัยกว่า ถ้าพูดถึง MPV เราเชื่อว่าคุณคงจะพอจินตนาการยานยนต์แบบ Van ที่มีน้ำหนักมาก และมันหมายถึงมันปลอดภัยกว่าด้วยขนาดเดียวกับรถซีดานขนาดกลาง แน่นอนช่วงล่างมันอาจจะไม่ใช่รถสปอร์ต แต่มันก็พอทำใคุณไม่ตัดสินใจเทโค้ง หรือขับขี่ด้วยความเร็วสูงเมื่อขับรถแบบนี้ แถมไปหลายคนยังช่วยกันระวังอีกต่างหากรับรองไม่เหงาแน่

อย่างไรก็ดีมีข้อถกเถียงในเรื่องการใช้รถยนต์ MPV อยู่ที่อัตราประหยัดน้ำมันของรถประเภทนี้ที่จะตกอยู่ที่ประมาณ 9- 10 กิโลเมตร/ลิตร ในเขตเมือง และนอกเมืองทำได้ดีสุดที่ราวๆ 12-13กิโลเมตร (ในอัตรารถเปล่า+คนขับ) แล้วแต่รุ่นและยี่ห้อว่ามันไม่คุ้มค่า แต่คุณจำเป็นต้องคิดกลับกันว่า คุณเดินทางด้วยผู้โดยสารเฉลี่ยแต่ละครั้งกี่คน ถ้าทุกวันนี้คุณเดินทางเป็นประจำประมาณ 3-4 คน เป็นอย่างน้อย บางทีการมองรถอเนกประสงค์สักคันน่าจะดีกว่าการใช้รถ 2คันในบ้าน

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม