ก่อกำเนิดเกิด Ford Mustang

40 ปี ก่อนหน้านี้ ฟอร์ด มัสแตง ได้ถือกำเนิดขึ้นในโลกยานยนต์ ถือเป็นรถสปอร์ต ที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักขับขี่ด้วยราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ Mustang คันเเรกจึงได้เปิดตัวสู่สาธารณชนในปี 1964 ในงาน New York World Fair ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสมรรถนะที่ดีเยี่ยมทำให้เป็นที่ถูกใจของนักขับ ชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากและนับตั้งเเต่นั้นมา Mustang ก็เข้ามามีบทบาทในโลกยานยนต์มากขึ้นได้ฉายาว่าเป็นสุดยอดรถ Muscle Car ตั้งเเต่อดีตจนถึงเจเนอเรชั่นล่าสุด Mustang 2005 โดยหนังสือรถยนต์ ชื่อดังระดับโลกอย่าง Car&Driver ที่เลือก Mustang เป็น 1 ใน 10 รถยอดเยี่ยม (10 BEST) ปี 2005 โดยจัดให้เป็น "Best Muscle Car"

ฟอร์ดได้พัฒนา Mustang 2005 ขึ้นมาใหม่หมด ลบโครงสร้างเดิมเเล้วเปลี่ยนมาใช้การออกแบบใหม่ทั้งหมดมีเป้าหมายให้เป็น Mustang ที่ทำความเร็วได้สูงขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้นและแน่นอนว่าจะต้องดูดีที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา ด้วยรูปทรงที่ดูกำยำ ด้วยการ ออกแบบเหมือนกับมีมัดกล้ามรอบคันจากตัวถังรถหรือซุ้มล้อที่โป่งออก ปราดเปรียวด้วยรูปทรงรถที่มีเส้นสายเฉพาะตัว ด้านหน้ายาวและหลังคาลาดลง ด้านท้ายที่เป็นเอกลักษณ์มาตลอดกว่า 40 ปี ซึ่งทำให้ดูทรงพลังและพร้อมจะทะยานไปข้างหน้าแม้ในขณะที่หยุดนิ่ง เพิ่มความดุดันด้วยไฟท้ายแบบ 3 ดวง ความยาวฐานล้อที่ถูกยืดออกมาอีก 6 นิ้ว นอกจาก จะทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูปราดเปรียวทรงพลังมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร นั่งสบายมากขึ้น มีพื้นที่วางขา พื้นที่ว่างช่วงไหล่ และเหนือศีรษะ มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ Mustang 2005 ยังเป็นรุ่นแรกของวงการรถยนต์ ที่ผู้ขับขี่สามารถ เลือกโทนสีของไฟหน้าปัดได้เอง เพียงกดปุ่มและเลือกสีไฟที่ต้องการจาก 125 สีที่มีให้เลือกตามอารมณ์ บุคลิกหรือกิจกรรมที่ทำและพวงมาลัย 3 ก้านจับกระชับมือ

Mustang 2005 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักนิยมสปอร์ต คาร์ เเต่มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้กับมัสแตง คือ วี 6 4.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า และ วี 8 4.6 ลิตร ที่ให้ กำลังสูงสุด 300 แรงม้า ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 40 แรงม้าเมื่อเทียบกับรุ่น 2004 และเพิ่มขึ้นถึง 50% จากรุ่นปี 1964 มี 2 ตัวถังให้เลือกคือ คูเป้และเปิดประทุน เกียร์มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ดได้พัฒนาเกียร์ออโตเมติก 5 สปีด ใน Mustang ที่ทำให้ขับได้อย่างสนุกสนานกับความทรงพลังของเครื่องยนต์ใหม่ที่เรียกพลัง ได้ทันใจ พร้อมทั้งให้ความประหยัดสูงสุดเมื่อขับขี่ ทางไกล

ระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัทรุ่นใหม่ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบคานแข็งที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว เกาะถนนเป็นเยี่ยมแม้ในขณะ เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ดิสก์เบรก 4 ล้อ เบรกเอบีเอส ยางขนาด 235/55 ขอบ 17 นิ้ว เพิ่มความมั่นใจให้กับทุกการขับขี่

นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยส่วนบุคคล หรือ Personal Safety System? ที่รวมสุดยอดเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเพื่อให้ความอุ่นใจมั่นใจโดยเฉพาะ การปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารในกรณีการชนด้านหน้า ด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าที่สามารถพองตัว ได้ถึง 2 แบบ คือในกรณีที่ชนอย่างรุนแรงและไม่รุนแรงมากนักที่ชนอย่างรุนแรงและไม่รุนแรง มากนัก

Ford Mustang at SEMA 2004 - Front Angle, 2005, 800x600, 1 of 14

http://www.ford.co.th

Aston Martin Lagonda – มาแน่แล้ว SUV สายพันธุ์อิตาเลี่ยน

ก็เหมือนกับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ที่เคยผลิตรถยนต์ประเภทเดียวมาตลอด ที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมสายการผลิต ให้ครอบคลุมมากขึ้นในหลาย ๆ กลุ่มลูกค้า อย่างเช่นค่าย Porsche จากเยอรมันที่ทำทั้ง SUV และ Saloon เพิ่มขึ้นมาจากเดิมที่จะผลิตออกมาเฉพาะรถสปอร์ต หรือแม้แต่ค่ายรถยนต์ระดับ Super Car อย่าง Lamborghini เองก็ยังเริ่มนำรถยนต์แบบ Saloon เข้าสู่สายการผลิตด้วยเลย

ครั้งนี้ก็เป็นคราวของค่ายรถยนต์จากเกาะอังกฤษนาม Aston Martin กันบ้าง ที่ได้เริ่มการเปลี่ยนแปลงจากการเป็นแบรนด์หรูที่ผลิตแต่รถยนต์ระดับ Super Car เท่านั้น มาเริ่มผลิตรถยนต์ระดับ Sub-Compact มาขายเมื่อไม่นานมานี้ และล่าสุดหลังจากที่มีข่าวออกมานานแล้ว และได้ทำการเปิดตัวให้ชมกันไปหลายปีแล้วตั้งแต่งานมอเตอร์โชว์ในเจนีวาปี 2009 กับ Aston Martin Lagonda รถยนต์แบบ SUV ระดับหรู ที่หวังชนกันกับ Porsche Cayenne หรือ Mercedes Benz M คลาสโดยตรง

โดยเจ้า SUV จาก Aston Martin นามว่า Lagonda นั้นจะใช้ชิ้นส่วนหลัก และแพลตฟอร์มเดียวกันดับ Mercedes-Benz M Class ตัวล่าสุดที่ใช้รหัสตัวถังว่า W166 และทาง Mercedes-Benz เองก็มีแผนจะผลิตรถยนต์รุ่น GL-Class ออกมาซึ่งจะมีความยาวมากกว่า M-Class โดยทาง Aston Martin ก็มีแผนจะขยายขนาดของเจ้า Lagonda ด้วยแพลตฟอร์มของ GL-Class ต่อไปอีกด้วย

ถ้าเป็นการใช้เครื่องยนต์ร่วมกันกับทาง Mercedes-Benz M-Class ด้วยล่ะก็ Aston Martin Lagonda นั้นก็คงจะได้รับมรดกเครื่องยนต์จาก AMG ขนาด 5.5 ลิตร V8 แบบเทอร์โบคู่ โดยแรงบิดนั้นสำคัญกับรถ SUV มาก ซึ่งน่าจะทำออกมาได้ประมาณ 515 แรงบิดเลยทีเดียว

ดู Notebook รุ่นนี้แล้วน้ำลายไหล

เปิดตัว… Mazda BT-50 กับชุดแต่งออฟโรดใหม่

กลับมาอีกครั้งแล้ว สำหรับข่าวสารวงการรถยนต์ คราวนี้เอาใจคนชอบรถกระบะนำข่าวเด็ดๆ จากค่าย Mazda มาฝากพี่ๆ น้องๆ กันครับ
ซึ่งล่าสุดทาง Thaicarlover.com ได้ข่าวมาว่า

Mazda Australia ได้เปิดตัวรถยนต์ Mazda BT-50 ที่มาพร้อมชุดแต่งออฟโรดจากโรงงาน มาให้ขาลุยโดยเฉพาะ พร้อมเผยภาพของกันชนหน้าทรงฮิต รูปทรงคล้ายสไตล์ ARB แต่ดีไซน์เข้ารูปกับทรงของ มาสด้า บีที 50 ใหม่ มาพร้อมบันไดข้างสำหรับรุ่น 4 ประตู

Mazda BT-50-Accessories

Mazda BT-50-Accessories

Bull Bar หรือกันชนหน้าทรง ARB นี้ ได้รับความนิยมทั่วโลก ซึ่งบ้านเราก็ฮิตไม่น้อย มีทั้งแบบนำเข้า และไทยทำเหมือน แต่ชุดกันชนหน้าของ BT-50 ใหม่ มร. ริว ยานางิซาวะ หัวหน้าทีมออกแบบได้ดีไซน์ออกมาอย่างกลมกลืนกับแนวเส้นของกระจังหน้า และไฟหน้า ด้วยการเอียงองศาอย่างเข้ารูป พร้อมปั๊มตรา Mazda มาให้เรียบร้อย โดยมี 2 สีให้เลือก คือ อะลูมิเนียม และดำด้าน

Mazda BT-50-Accessories-02

Mazda BT-50-Accessories-02

ส่วนความพิเศษจะอยู่ที่ กันชนชุดนี้จะทำงานร่วมกับถุงลมนิรภัย เมื่อได้รับแรงกระแทกในระดับที่เกิดอันตรายมากพอ ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐานจาก ADR – Australian Design Rules มาเรียบร้อย

ชุดแต่งกันชนหน้าแบบใหม่

ชุดแต่งกันชนหน้าแบบใหม่

และที่ขาดไม่ได้สำหรับคอออฟโรด ก็คือสปอตไลท์ ซึ่ง Mazda เลือกใช้บริการของบริษัทในพิ้นที่อย่าง LightForce ซึ่งได้รับความนิยมไม่แพ้ PIAA พร้อมขึ้นเสา ว. ย่าน UHF มาให้

นอกจากนี้ยังมีชุดกันชนหน้าขนาดเล็ก หรือ Nudge Bar (กันชนที่เป็นทรงตัว U คว่ำ), Side Steps (บันไดข้าง) ซึ่งจะเปิดตัวตามมาอีกภายในปีนี้ เรียกว่า Mazda ออสซี่เตรียมกินรวบอาฟเตอร์มาเก็ตแบบเนียนๆ เลยทีเดียว และในอนาคตของแต่งจากโรงงาน เมื่อกลายเป็นของมือสอง มักจะมีราคา และกลายเป็นของหายากเสมอ (ยกตัวอย่าง Roof Rack ของ Suzuki Jimny จากโรงงาน ทุกวันนี้หายากมาก)

สำหรับแฟนๆ Mazda ในบ้านเราคงต้องรอลุ้นว่า Mazda BT-50 กับชุดแต่งออฟโรด จะมาอวดโฉมที่งานมอเตอร์ เอ็กซ์โปร 2554 (Motor Expo 2011) ในปลายปีนี้หรือไม่ ซึ่งอันนี้แฟนๆ มาสด้า คงต้องติดตามกันต่อไปครับ

อย่าพลาดติดตามข่าวสารการเปิดตัวรถใหม่ รวมถึงความเคลื่อนไหวในวงการรถยนต์ทั้งไทย และต่างประเทศได้ใหม่กับ Thaicarlover.com ครับ

Honda Brio V MT ความสนุกลงตัว ที่สัมผัสได้

หลังจากทีมงาน eCAReasy ได้มีโอกาสร่วมทริปทดสอบในแบบ Group test ฮอนด้า บริโอ้มาแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นได้ไปทดสอบกันถึงจังหวัดเชียงราย และถือเป็นครั้งแรกเลยที่เหล่าสื่อมวลชนสายรถยนต์ได้สัมผัสกับฮอนด้า บริโอ้ ทั้งในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ และเกียร์ธรรมดา หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ และครั้งนี้เราก็ได้รับโอกาสอีกครั้ง ที่จะได้นำฮอนด้า บริโอ้ รุ่น V MT มาทำการทดสอบในรูปแบบการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะเป็นอย่างไร ลงตัวแค่ไหน ตามกันต่อเลยครับ

สำหรับฮอนด้า บริโอ้ รุ่น V MT ที่นำมาทดสอบนี้ ถือเป็นรุ่นกลาง ต่เป็นออพชั่น TOP สุดในรุ่นเกียร์ธรรมดา โดยรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกันกับตัว TOP สุดในรุ่นเกียร์อัตโนมัติ ด้านหน้าออกแบบให้สั้น เน้นความสปอร์ต ล้ำสมัย ส่วนด้านหลังออกแบบท้ายตัด พร้อมกระจกหลังบานใหญ่ จากที่มองดูรูปโฉมภายนอกเรียกได้ว่าออกแนวน่ารัก สปอร์ตเล็กๆอยู่เหมือนกัน

Honda Brio V MT

สำหรับภายใน เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ห้องโดยสาร อยากจะบอกว่ามันไม่ได้แคบอย่างที่คิด เท่าที่สังเกตุหลายๆจุด น่าจะมาจากการออกแบบที่เน้นความกว้างขวาง อาทิ แนวของแผงข้างประตูจะโค้งเพื่อเพิ่มพื้นที่ด้านข้างของห้องโดสารให้ดูโปร่งขึ้น อีกส่วนที่ทำให้การนั่งโดยสารสะดวกสบาย และกว้างขวางขึ้น คือ การออกแบบเบาะนั่งคู่หน้าให้ด้านหลังเบาะมีความโค้ง ทำให้เพิ่มพื้นที่เวลานั่งโดยสารไม่ให้อึดอัด เรียกว่าทางทีมงานลองนั่งโดยสารกันแบบผู้ใหญ่ 5 คนแบบสบายๆ แต่ก็มีข้อติที่หลายคนบอกมาคือ พื้นที่เก็บของสัมภาระด้านหลังจะแคบไปสักนิด ก็อย่างที่รู้กันอยู่นะครับว่า ฮอนด้า บริโอ้ เป็นรถขนาดเล็กอีโคคาร์ การใช้งานส่วนใหญ่น่าจะเหมาะกับใช้งานในเมืองแบบสบายๆ ขนของบ้างเล็กน้อย ก็ถือว่าน่าจะเพียงพอแล้ว

มาต่อกันที่ขุมพลังของฮอนด้า บริโอ้ คันนี้กันบ้างใช้เครื่องยนต์ i-VTEC 4 สูบ ความจุ 1,200 ซีซี 90 แรงม้า สามารถใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E20 และประหยัดเชื้อเพลิงได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อลิตร (ตามสเปกโรงงาน) ส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อมอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยมาตราฐานครบ อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า พร้อมเข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ ระบบเบรก ABS พร้อม EBD ระบบล็อกป้องกันเด็ก ระบบกุญแจ Immoblizer และไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED

Honda Brio V MT

การทดสอบในช่วงแรกนี้ ทีมงาน eCAReasy ได้ทดสอบโดยใช้เส้นทางในเมืองที่การจราจรที่ติดขัด สลับหยุดนิ่ง ฮอนด้า บริโอ้ รุ่น V MT สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างน่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเลนเพื่อแซง และแทรก ทำได้อย่างคล่องตัว และด้วยความที่เป็นรถที่ได้รับความสนใจของผู้ใช้รถอยู่แล้ว เวลาวิ่งไปทางไหน จะเปลี่ยนเลน หรือแทรกใครก็จะรับการเว้นที่ให้เจ้าฮอนด้า บริโอ้เสมอ ส่วนถามว่าการใช้เกียร์ธรรมดากับการจราจรที่ติดขัดในกรุงเทพฯมีปัญกาบ้างเปล่า ทีมงาน eCAReasy ขอบอกว่า ฮอนด้า บริโอ้ ตัวนี้ถือเป็นรถเกียร์ธรรมดาที่ขับขี่ง่ายคล่องตัว น้ำหนักการเหยียบคลัตช์ก็ไม่แข็ง แถมให้อัตราเร่งที่ทันใจดีในแบบเกียร์ธรรมดา แต่จะให้สบายแบบเกียร์อัตโนมัติคงไม่ใช่ โดยอัตราความสิ้นเปลืองที่วัดได้อยู่ประมาณ 15-16 กม./ลิตร ก็ถือว่าน่าพอใจกับการใช้งานในเมือง และอีกอย่างที่ลืมพูดถึงไป ในยามที่อยู่ในสภาพการจราจรที่ติดขัด คงไม่มีอะไรสบายไปกว่า ที่เรามีเพลงเพราะๆจากเครื่องเสียงคุณภาพดี จากช่อง USB และระบบปรับอากาศที่เย็นสบายที่มีให้ในฮอนด้า บริโอ้

Honda Brio V MT

ผ่านจากการทดสอบแบบการจราจรในเมืองแล้ว ถึงเวลาที่ทีมงาน eCAReasy จะพาฮอนด้า บริโอ้ไปลองวิ่งใช้งานกันแบบเดินทางไกลบ้าง ซึ่งในรถเล็กเหล่านี้จะชอบถูกพูดว่า "ออกต่างจังหวัด วิ่งทางไกล ไม่ได้หรอก" ทีมงาน eCAReasy เลยจัดให้ซะเลย... โดยใช้เส้นทาง กรุงเทพฯ - บางแสน ชลบุรี ซึ่งก็น่าจะเพียงพอกับการที่จะได้สัมผัสสมถรรนะของฮอนด้า บริโอ้ ต้องขอบอกก่อนว่าการเดินทางทดสอบในครั้งนี้มีผู้ร่วมทดสอบอีก 4 คน ตลอดเส้นทางการเดินทางเราก็พยายามจะลองอัตราการสิ้นเปลืองโดยใช้ความเร็วในการเดินทางอยู่ระหว่าง 100-110 กม./ชม. จะเห็นว่าความเร็วที่เราใช้ไม่ใช่รูปแบบที่ใช้ทดสอบความประหยัดอย่างที่อื่นเขาทำกัน แต่อย่างที่บอกไปแล้วครับว่า ทีมงาน eCAReasy ต้องการทดสอบการใช้งานแบบเดินทางไกลที่ใช้ในชีวิตจริง เลยเลือกเอาความเร็วดังกล่าวมาทดสอบ ซึ่งฮอนด้า บริโอ้ รุ่น V MT ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังได้อัตราการสิ้นเปลืองเฉลี่ยประมาณ 19.6 กม./ลิตร อาจจะดูน้อยกว่าสเปกที่เคลมมาแต่อย่างที่บอกครับ นี่เป็นความเร็วใช้งานจริง นั่งโดยสารกัน 4 คน ได้อัตราการสิ้นเปลืองขนาดนี้ถือว่าน่าพอใจแล้วครับ แต่ถ้าใช้ความเร็วลดลงอีกรับรองได้ว่าเกิน 20 กม./ลิตร แน่นอน และในส่วนเรื่องอัตราเร่งของเครื่องยนต์ 1.2 ลิตรที่มากับเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ก็สามารถเรียกใช้พละกำลังได้อย่างเต็มที ไม่ว่าจะเป็นช่วงเร่งแซง ก็เปลี่ยนเกียร์เรียกกำลังได้ทันที แต่ความเร็วท็อปสปีดอาจจะไม่มากเนื่องจากถูกล็อกความเร็วไว้ที่ประมาณ 145 กม./ชม.มาจากโรงงาน

Honda Brio V MT

อีกจุดที่ฮอนด้า บริโอ้ ทำได้น่าพอใจก็คือเรื่องของสมถรรนะของช่วงล่างที่เซตมาอย่างเกินตัวในรถขนาดอีโคคาร์ โดยฮอนด้า บริโอ้ให้ความคล่องตัว เกาะถนน ทั้งในทางโค้ง และทางตรง การบังคับควบคุมน้ำหนักพวงมาลัยกำลังดี พวงมาลัยจับกระชับมือวงเลี้ยวแคบสามารถกลับรถในซอยได้สบาย ส่วนที่หลายๆคนบ่นว่า ฮอนด้า บริโอ้ ไม่มีไล่ฝ้าหลังกับที่ปัดน้ำฝนหลัง ทางทีมงาน eCAReasy ก็มีโอกาสไว้ขับขี่ขณะฝนตกแรงๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร การมองเห็นก็ยังเป็นปรกติ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ในเมื่อคู่แข่งในตลาดเขามีออฟชั่นนี้มาให้ รุ่นต่อไปของฮอนด้า บริโอ้ก็อย่าลืมจัดมาให้ครบๆแล้วกันครับ

สรุปที่ทีมงาน eCAReasy ได้ทดสอบฮอนด้า บริโอ้ รุ่น V MT ในรูปแบบต่างๆ ยังขอย้ำคำเดิมว่า "ขับสนุกจนลืมไปเลยว่ากำลังทดลองขับรถ ecocar เครื่อง 1200 ซีซี." ด้วยสมถรรนะช่วงล่าง การยึดเกาะถนน พละกำลังของเครื่องยนต์ 4 สูบที่มาพร้อมความประหยัดเชื้อเพลิง ถ้ามองมองข้ามออฟชั่นบางตัวที่ไม่มีไปได้...ฮอนด้า บริโอ้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนอยู่เหมือนกันนะครับ...

ขอขอบคุณ :

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย จำกัด เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดสอบ

ร้าน SweetSummer บางแสน ชลบุรี เอื้อเฟื้อสถานที่

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ www.ecareasy.com

Lamborghini คันนี้สวยมาก

















จำนวนการดูหน้าเว็บรวม