25 อันดับ “เมืองน่าอยู่” แห่งปี 2011


เมื่อไม่นานมานี้นิตยสาร Monocle (นิตยสารเชิง Educative & Lifestyle ชื่อดังจากเกาะอังกฤษที่หลายคนฟันธงว่า เป็นโมเดลของนิตยสารที่สมบูรณ์แบบแห่งศตวรรษ) ได้นำเสนอผลการสำรวจการจัดอันดับเมืองน่าอยู่ประจำปี 2011 โดยพิจารณาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ อันได้แก่
1) โอกาส
2) คุณภาพชีวิต
3) ความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์รากเหง้าดั้งเดิมของตัวเมืองและแผนการในอนาคต

และต่อจากนี้ไปก็คือ รายชื่อของผู้ชนะทั้ง 25 เมืองที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ พรสวรรค์ และความกล้าหาญในการที่จะลงมือทำ “สิ่งที่เคยฝัน” ให้กลายเป็นจริง…

อันดับที่ 25 – ซีแอทเทิล (Seattle) สหรัฐอเมริกา
(เข้าอันดับใหม่ในปี 2011)
“รอบล้อมด้วยน้ำในทุกหนทุกแห่ง และอยู่ใกล้เอเชียที่สุด”

ซีแอทเทิล คือ เมืองที่รอบล้อมไปด้วยมหาสมุทร ทะเลสาบ และคลอง (สำหรับเดินเรือเพื่อขนส่งสินค้าต่างๆ) จนได้ชื่อว่าเป็น “สุดยอดเมืองแห่งเรือเดินสมุทร” แถมเป็นเมืองท่าของสหรัฐอเมริกาที่อยู่ใกล้ชิดทวีปเอเชียที่สุดด้วย

ย่านที่น่าสนใจของซีแอทเทิลในตอนนี้ ก็คือ South Lake Union ที่เต็มไปด้วยร้านอาหารดีๆ มากมาย นอกจากนั้น ซีแอทเทิลยังมีโครงการรถไฟฟ้ามูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ ที่กำลังจะถูกขยายภายในเวลา 2 ปี

อันดับที่ 24 มอนทรีออล (Montreal) ประเทศแคนาดา
(อันดับที่ 19 เมื่อปี 2010)
“อุปสรรคสำคัญในการเติบโตของมอนทรีออลก็คือ ความไม่สะดวกในการเดินทางไปรอบๆ เมือง แต่ถึงกระนั้นด้วยความเป็นอัจฉริยะและความคิดสร้างสรรค์ที่ล้นปรี่ ก็ยังทำให้เมืองนี้ติดอันดับเมืองที่น่าอยู่ที่สุดอยู่ดี”

หากมอนทรีออลจะยังคงติดอันดับต้นๆ ของเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีนั้น ก็คงไม่ใช่เพราะมีผู้บริหารที่ดีเพียงอย่างเดียว เพราะในขณะที่เมืองๆ นี้ได้รับการยกย่องในเรื่องสาธารณูปโภค การปั่นจักรยาน และเรื่องของอุตสาหกรรมไฮเทค แต่เรื่องของการขนส่ง ถนนหนทาง ตลอดจนสะพานต่างๆ ในเมือง ก็ควรได้รับการปรับปรุงอีกมาก (การเดินทางรอบเมืองมอนทรีออลใช้เวลาประมาณ 76 นาที)

อันดับที่ 23 – ลิสบอน (Lisbon) ประเทศโปรตุเกส
(อันดับที่ 25 เมื่อปี 2010)
“มีร้านรวงเล็กๆ มากมายที่เปิดตัวขึ้นเป็นครั้งแรกในพื้นที่สาธารณะต่างๆ ทั่วเมือง”

แม้ความซบเซาทางเศรษฐกิจจะทำให้การ ค้าขายในเมืองลิสบอนปราศจากชีวิตชีวา แต่ชาวเมืองลิสบอนก็ยังสามารถพึ่งพา “อากาศที่ดี” และทำให้ย่านการค้าแบบ Open air ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยสถานที่ที่คึกคักที่สุดก็คือบริเวณริมแม่น้ำในตำบล Belem ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของ Champalomaud Foundation Centre (เพิ่งเปิดตัว Biomedical Centre และ Contemporary Art Centre ไปเมื่อไม่นานมานี้) นอกจากนั้นเมืองนี้ยังมีแผนการที่จะสร้างสถานีเติมพลังงานให้กับรถที่ใช้ พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย

อันดับที่ 22 – ฮัมบูร์ก (Hamburg) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 24 เมื่อปี 2010)
“เมืองที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามเป็นอันดับสองของเยอรมันนี”

ฮัมบูร์กมีอาคารประวัติศาสตร์ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีเยี่ยม ตลอดจนมีสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจ และมีน้ำท่าที่อุดมสมบูรณ์ ที่สำคัญเมืองนี้เป็นที่ตั้งของโครงการ HafenCity โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณท่าเรือซึ่งมีโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่ “กล้าและล้ำที่สุด” (คาดว่า จะดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อีกจำนวนมหาศาล) ท้ายสุดฮัมบูร์กยังได้ครองตำแหน่ง European Green Capital ประจำปี 2011 ด้วย

อันดับที่ 21 – เกียวโต (Kyoto) ประเทศญี่ปุ่น
(อันดับที่ 23 เมื่อปี 2010)
“เมืองหลวงเก่าที่มีทุกอย่างที่โตเกียวไม่มี”

ถ้าระยะเวลาในการเดินทางด้วยรถด่วน ชินคังเซนขบวน “โตเกียว – เกียวโต” ถูกย่อให้เหลือเพียง 45 นาที (แทนที่จะเป็น 2 ชั่วโมงอย่างทุกวันนี้) ผู้คนที่ทำงานในโตเกียวอาจเลือกพักอาศัยในเมืองหลวงเก่าแห่งนี้ มากกว่าการไปแออัดอยู่ในกรุงโตเกียวด้วยซ้ำ ด้วยว่า เกียวโตนั้นมีทุกอย่างในแบบที่เมืองทันสมัยไฮเทคฯ ของโลกควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถาปัตยกรรม สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ฯลฯ แถมมีพื้นที่เปิดโล่งตามแนวแม่น้ำ (แม่น้ำคาโมะที่แนบขนานไปกับย่านเมืองเก่า) ตลอดจนมีวิถีชีวิตสไตล์เนิบช้าที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรม ที่สำคัญคือ ไม่มีเรื่องแผ่นดินไหวและภัยสงครามมารบกวนใจชาวเมืองแม้แต่น้อย

อันดับที่ 20 – แวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา
(อันดับที่ 16 เมื่อปี 2010)
“คงมีไม่กี่เมืองในโลกที่สามารถต่อกรกับธรรมชาติได้อย่างน่าชื่นชม ซึ่งแวนคูเวอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น”

ประชากรครึ่งหนึ่งของแวนคูเวอร์ไม่ ได้เกิดที่แคนาดา อาหารจานหลักของเมืองๆ นี้ ได้มาจากมหาสมุทรและสวนผลไม้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ แวนคูเวอร์เป็นศูนย์กลางของการผลิตภาพยนตร์ และศูนย์รวมของบริษัทออกแบบวิดีโอเกมส์

อันดับที่ 19 – โฮโนลูลู (Honolulu) สหรัฐอเมริกา
(อันดับที่ 13 เมื่อปี 2010)

“เมืองสวรรค์แห่งนี้มีดีมากกว่าแค่ชายหาด”

จับตาดูผลงานของนายกเทศมนตรีคนใหม่ ที่เพิ่งจัดให้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อาทิ โครงการสร้างทางรถไฟมูลค่ามหาศาล การกำจัดขยะ การทำท่อระบายน้ำเสีย ฯลฯ และปิดท้ายด้วยการเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ในเดือนพฤศจิกายนที่กำลังจะมาถึง

โฮโนลูลู บ้านเกิดของประธานาธิบดีบารัค โอบามา มีเรื่องของการท่องเที่ยวเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งแม้ว่า หาดไวกิกิจะถูกกัดเซาะเข้าไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ปริมาณนักท่องเที่ยวลดน้อยถอยลงเลย นอกจากนั้นด้วยความที่มีวิวทิวทัศน์งดงาม โฮโนลูลูจึงเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ซีรีส์เรื่องดังหลายเรื่อง และเป็นสถานที่ยอดนิยมในการถ่ายทำรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ด้วย ส่วนที่น่าสนใจที่สุดตอนนี้ก็คือ เรื่องของศิลปะ ทิวทัศน์ และเจ้าของธุรกิจเจนเนอเรชั่นใหม่ๆ

อันดับที่ 18 – พอร์ทแลนด์ (Portland) สหรัฐอเมริกา
(อันดับ 22 เมื่อปี 2010)
“เมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ ที่น่าจับตามองมากที่สุด”

มองแว่บแรก คุณอาจจะคิดว่า เมืองริมแม่น้ำทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกาแห่งนี้เป็นเพียงแค่ที่ พักผ่อนหย่อนใจของคนหนุ่มสาว แต่หากมองให้ลึกลงไปในรายละเอียดคุณก็จะพบกว่า “พอร์ทแลนด์” คือ เมืองอุตสาหกรรมที่มีทั้งกิจการร้านค้าและกิจกรรมอันมีชีวิตชีวามากมาย (และแน่นอนว่า มันยังมีความเป็นธรรมชาติมากๆ ด้วย)

ว่ากันว่าท่าเรือเมืองพอร์ทแลนด์ใน เวลานี้มีสินค้าส่งออกเพิ่มมากขึ้นถึง 2 เท่าจากช่วง 2 ทศวรรษก่อน ขณะที่ธุรกิจร้านอาหาร ดนตรี คาเฟ่ และแฟชั่น ก็มีตัวเลขผลตอบแทนที่ดีกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่มากโข นอกจากนั้น มหาวิทยาลัยท้องถิ่นในเมืองพอร์ทแลนด์ก็กำลังก่อสร้างอาคารสูงหลายชั้น (มีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2013) แถมพอร์ทแลนด์ยังมีโครงการคมนาคมขนส่งชั้นยอด (มูลค่ากว่า 100 ล้านยูโร) ที่กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งรวมถึงการขยายถนนหนทางต่างๆ และสถานีบริการ “เติมพลัง” ให้กับรถพลังงานไฟฟ้าด้วย

อันดับที่ 17 – ฮ่องกง (Hongkong) ประเทศจีน
(เข้าอันดับใหม่ในปี 2011)

“เจ้าภาพเทศกาลศิลปะ (Art Fair) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค”

ด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาลที่มุ่งมั่น พัฒนา “เกาลูนตะวันตก” ให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม (โดยได้รับความร่วมมือจาก Foster + Partners) ฮ่องกงมีโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อเมืองใหญ่ต่างๆ หลายแห่ง เช่น กวางโจวและเซินเจิ้น (กำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2015) แถมด้วยสะพานฮ่องกง – จูไห่ – มาเก๊า ความยาว 26.6 กิโลเมตร ดูท่าว่าฮ่องกงจะเดินถึงฝั่งฝันได้ไม่ยาก ที่สำคัญที่สุดแม้ว่าฮ่องกงจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก แต่ 67% ของพื้นที่ก็ยังเป็นพื้นที่ป่า และมีชายหาดกระจายตัวอยู่ถึง 41 แห่ง

อันดับที่ 16 – ฟุกุโอกะ (Fukuoka) ประเทศญี่ปุ่น
(อันดับที่ 14 เมื่อปี 2010)
“หนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดของญี่ปุ่น”

ถ้าดูจากแผนที่ “เมืองฟุกุโอกะ” จะตั้งอยู่มุมบนด้านซ้ายของเกาะคิวชู แต่ถ้ามองจากระยะไกล ที่แห่งนี้คือ หัวใจของเอเชียตะวันออก (ด้วยว่า มันตั้งอยู่ใกล้กับกรุงโซลและมหานครเซี่ยงไฮ้ในระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกลไป กว่าโตเกียวถึงโอซาก้า)

ฟุกุโอกะมีชื่อเสียงในเรื่องของ อาหารรสชาติกลมกล่อมและชีวิตราตรีที่สนุกสนาน ปัจจุบัน มีสถานีรถไฟใหม่ “สถานีฮากาตะ” ที่รวบรวมร้านค้าและร้านอาหารมากมายกว่า 200 ร้านไว้ด้วยกัน แถมด้วยรถไฟชินคังเซนที่เชื่อมต่อเส้นทางระหว่างฟุกุโอกะและคะโกชิมะก็ทำให้ การเดินทางสะดวกสบายยิ่ง

ขึ้น ที่สำคัญสนามบินประจำเมืองนั้นอยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟใต้ดินเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ

อันดับที่ 15 – สิงคโปร์ (Singapore)
(อันดับที่ 21 เมื่อปี 2010)

“จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ คือ ความท้าทายใหม่ในเมืองแห่งสวนของเอเชีย”

จากเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น 14.5% ในปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ดีปีหนึ่งของชาวสิงคโปร์ อย่างไรก็ดี นโยบายของกองต่างด้าว (ที่เข้มงวดน้อยลง) ก็ส่งผลให้เหล่าผู้อพยพไหลทะลักเข้ามา (ส่วนมากเป็นชาวจีน) ซึ่งการขยายตัวของประชากรอย่างรวดเร็วนี้ย่อมหมายถึงความติดขัดของบริการ สาธารณะต่างๆ นอกจากนั้นยังมีเรื่องของระดับความไม่เสมอภาคอันเป็นปัญหาสูงสุดของประเทศ ที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่

ที่น่าติดตามคือ สถานการณ์ทางการเมืองของสิงคโปร์ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเป็น “ประชาธิบไตยอย่างช้าๆ” ขณะที่รัฐบาลก็ยังคงมีประสิทธิภาพ มีอัตราการเกิดอาชญากรรมที่น้อยแสนน้อย แถมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ก็ยอดเยี่ยมชั้นหนึ่ง

อันดับที่ 14 – บาร์เซโลนา (Barcelona) ประเทศสเปน
(อันดับที่ 17 เมื่อปี 2010)

“เชื่อมโยงถึงกันมากกว่าที่เคยเป็นมา”

เรื่องดีๆ ในบาร์เซโลนาตอนนี้ก็คือ สนามบิน El Prat เพิ่งเปิดประตูเชื่อมต่อไปไกลถึงเซาเปาโลและไมอามี่ แถมยังเพิ่มเส้นทางบินนอกทวีปยุโรปอีกกว่า 75% (บาร์เซโลนาเตรียมการรับมือกับเรื่องนี้ด้วยการสร้างรถไฟความเร็วสูง AVE) อย่างไรก็ตาม ภาพอนาคตในแง่มุมอื่นกลับยังไม่ชัดเจนนัก มีการตัดลดงบประมาณในโครงการต่างๆ ขณะที่ทั่วทั้งเมืองก็ยังเต็มไปด้วยนักล้วงกระเป๋า และมาตรการคุมเข้มเรื่องการแสดงดนตรีสดก็ทำให้สีสันยามค่ำคืนเฉาลงไปเยอะ

เทศมนตรี เลน บราวน์ ที่ว่า “จะทำให้โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”

นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทุกคนที่โอ๊คแลนด์ก็กำลังขมีขมันตกแต่งเมือง เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟในเดือนกันยายน 2011 ซึ่งงานนี้พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงพื้นที่สาธารณะตลอดจนเรื่องของ ร้านอาหารด้วย

อันดับที่ 13 – โอ๊คแลนด์ (Aukland) ประเทศนิวซีแลนด์
(อันดับที่ 20 เมื่อปี 2010)

“สภาที่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันและการเริ่มต้นใหม่ในการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟ”

ชาวโอ๊คแลนด์กำลังตื่นเต้นเพราะปี ที่แล้วได้มีการทดลองครั้งสำคัญในการยุบสภาทั้ง 7 เพื่อรวมกันขึ้นเป็นสภาเดียว พร้อมทั้งมีคำสัญญาจากนายกเทศมนตรี เลน บราวน์ ที่ว่า “จะทำให้โอ๊คแลนด์เป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก”

นอกจากเรื่องการเมืองแล้ว ทุกคนที่โอ๊คแลนด์ก็กำลังขมีขมันตกแต่งเมือง เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการแข่งขันรักบี้เวิล์ดคัฟในเดือนกันยายน 2011 ซึ่งงานนี้พวกเขาลงทุนมหาศาลเพื่อปรับปรุงพื้นที่สาธารณะตลอดจนเรื่องของ ร้านอาหารด้วย

อันดับที่ 12 – กรุงปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส
(อันดับที่ 7 เมื่อปี 2010)

“ท้ายที่สุดเมืองหลวงของฝรั่งเศสก็ได้เรียนรู้ว่าการปฏิรูปไม่ใช่เรื่องเสียหาย”

ทัศนคติการดูถูกคนอื่นของชาวปารีส และอดีตอันเต็มไปด้วยเรื่องราวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ทำให้ผู้คนทั้งโลกประเมินศักยภาพของปารีสต่ำเกินไปในการที่จะเป็นเมือง แห่งอนาคต อย่างไรก็ดี การเชื่อมโยงศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่หรูหราระยิบระยับเข้ากับย่านชุมชนชาน เมืองที่สุรุ่ยสุร่าย ก็น่าจะทำให้ทุกสิ่งกลับมาเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง (เมื่อถึงวันส่งมอบ Super Metro ที่มีความยาวถึง 130 กิโลเมตรในปี 2025) ซึ่งแม้ว่าในวันนั้นประธานาธิบดี นิโคลา ซาโกซี่ จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแล้วก็ตาม แต่เขาก็สมควรจะได้รับความดีความชอบอันนี้ พอๆ กันกับที่นายแบร์ทรองด์ เดอลาโนเอ นายกเทศมนตรีเมืองปารีสได้จัดให้มีบริการ “จักรยานเช่า” เพื่อขี่ชมเมือง (ชื่อว่า Velib) และอีกโครงการที่กำลังจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ก็คือ “รถไฟฟ้าเช่า” (ชื่อว่า Autolib) ซึ่งจะเรียกว่าเป็นของขวัญที่น่ารอคอยจากปารีสก็ได้

อันดับที่ 11 – สต็อกโฮล์ม (Stockholm) ประเทศสวีเดน
(อันดับที่ 6 เมื่อปี 2010)

“กรุงสต็อกโฮล์มยังคงเดินหน้าต่อไปในการทำให้เมืองมีคุณภาพมากที่สุด”

เมืองหลวงขนาดเล็กๆ แห่งสแกนดิเนเวียนี้ สามารถเชื่อมต่อถึงกันได้หมดภายในระยะเวลาเพียง 30 นาที มันเพียบพร้อมไปด้วยข้อเสนอทางวัฒนธรรมที่ดี ตลอดจนร้านอาหาร ผับ บาร์ และคาเฟ่หรูหรา รวมไปถึงพื้นที่สีเขียวและธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง

ล่าสุดสต็อกโฮล์มที่โดดเด่นในเรื่อง ของความสะอาดและความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติกำลังจะมีโครงการ Slussen Docks และ Stockholmsporten Gateway ที่คาดการว่า จะยังคงไว้ซึ่งความสวยงามทางสถาปัตยกรรม และความอ่อนน้อมต่อสภาพแวดล้อมเหมือนเช่นเคย

อันดับที่ 10 – มาดริด (Madrid) ประเทศสเปน
(อันดับที่ 10 เมื่อปี 2010)

“เมืองที่ถูกเปลี่ยนสภาพใหม่ให้พร้อมรับมือกับอนาคต”

หลายคนสงสัยในความทะเยอทะยานที่ดู เหมือนจะไม่มีขีดจำกัดของ Alberto Ruiz – Gallardon ผู้ว่าการเมืองมาดริด มาโดยตลอด แต่ในที่สุด เมื่อโครงการใหญ่ทั้งหลายเสร็จสิ้นลง ชาวเมืองก็ต้องยอมรับว่า พวกเขารู้สึกดีใจและมีความสุขอย่างที่สุด

หนึ่งในนั้นคือโครงการ Madrid Rio ที่จะมีทั้งสวนสาธารณะ เลนจักรยาน สเก็ตแรมพ์ สนามเด็กเล่น และศูนย์การค้าใหญ่อย่าง Plaza de Callao แต่ก็ใช่ว่ามาดริดจะมีแต่ข่าวดีไปเสียทั้งหมด เพราะเมื่อบ่อทองคำของเมืองเหือดแห้งไป เรื่องของสภาพอากาศก็จะกลับมาเป็นปัญหาใหญ่ด้วยระดับมลพิษที่พุ่งสูงขึ้น กว่ามาตรฐานของ E.U. เหตุนี้ทำให้กลุ่มผู้บริหารเมืองจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาจราจร พร้อมทั้งหาทางรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยานเป็นพาหนะกันมากขึ้น

อันดับที่ 9 – โตเกียว (Tokyo) ประเทศญี่ปุ่น
(อันดับที่ 4 เมื่อปี 2010)

“ปีนี้เป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับโตเกียว หนึ่งในเมืองโปรดของคนทั้งโลก”

สัญญาณในการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจยังคง มีให้เห็นทั่วกรุงโตเกียว (หลังจากถูกโจมตีด้วยภัยธรรมชาติและภัยพิบัติจากนิวเคลียร์เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011) ซึ่งด้วยความที่จำนวนชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวลดลงอย่างมาก โตเกียวจึงต้องหันกลับมาจัดบทบาทใหม่ และเริ่มมองหาความมั่นคงท่ามกลางความไม่แน่นอน โดยชาวเมืองโตเกียวผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่างพร้อมใจกันลงคะแนนให้ ชินทาโร่ อิชิฮาระ ผู้ว่าการประจำเมือง 3 สมัย วัย 78 ปี ดำรงตำแหน่งต่อในสมัยที่ 4

เราขอคำนับให้กับชาวเมืองโตเกียวที่ มีความอดทนต่อช่วงเวลาอันยากลำบาก และสำหรับสิ่งดีงามต่างๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารการกิน ความสนุกในการช้อปปิ้ง และมารยาทในการเป็นเจ้าบ้าน (แม้ว่าประชาชนพลเมืองยังต้องเผชิญกับอนาคตที่ยากลำบาก แถมด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เป็นผลพวงจากหายนะทางธรรมชาติ)

อันดับที่ 8 – เบอร์ลิน (Berlin) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 11 เมื่อปี 2010)

“ค่าครองชีพที่ต่ำกว่าเมืองหลวงใดในยุโรปทำให้เบอร์ลินยังคงเป็นหนึ่งในเมืองที่น่าอยู่ที่สุด”

เฉพาะแค่ปี 2010 ที่ผ่านมาจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมกรุงเบอร์ลินเพิ่มสูงขึ้นถึง 9 ล้านคน คงเพราะความที่ไม่มีงานอุตสาหกรรมหลงเหลืออยู่ และอัตราการว่างงานในเมืองก็สูงลิบ “การท่องเที่ยว” จึงได้กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยประคับประคองเศรษฐกิจของเบอร์ลินให้เดินหน้า ต่อไปได้

ทุกวันนี้ หลายต่อหลายย่านฮิตในเขตที่เคยเป็น “เบอร์ลินตะวันออก” คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย จำนวนอพาร์ทเมนท์และที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวผุดขึ้นใหม่ราวกับดอกเห็ด เห็นชัดเลยว่า เมืองหมีแห่งนี้กำลังถูกขัดสีฉวีวรรณให้เป็นเมืองหรูหราแห่งใหม่ของโลก

อันดับที่ 7 – ซิดนีย์ (Sydney) ประเทศออสเตรเลีย
(อันดับที่ 12 เมื่อปี 2010)

“ซิดนีย์ได้ถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่จากการเปิดตัวของ Westfield Shopping Centre มอลล์ขนาดมหึมาที่เข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง”

นอกจากช้อปปิ้งมอลล์ขนาดยักษ์แห่ง ใหม่แล้ว ซิดนีย์ยังมีแผนการที่จะสร้างรถไฟที่ถนนจอร์จสตรีท (ถนนสายเจ้าปัญหา) ซึ่งผู้บริหารเมืองได้ให้คำปฏิญาณว่า จะใช้เงินจำนวน 180 ล้านเหรียญออสเตรเลีย เพื่อปรับปรุงพื้นที่บริเวณนั้นให้งดงามที่สุด ตลอดจนเรื่องการรณรงค์ให้ชาวเมืองหันมาใช้จักรยาน (ที่เคยถกเถียงกันมาตลอด) ก็จบลงด้วยข้อสรุปที่ดี งานนี้จะทำให้อัตราการใช้จักรยานสูงขึ้นอีกถึง 167 %

อันดับที่ 6 – เวียนนา (Vienna) ประเทศออสเตรีย
(อันดับที่ 8 ในปี 2010)

“กรุงเวียนนากำลังจะเป็นเมืองแห่งพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่งดงามที่สุด”

กรุงเวียนนามีโปรแกรมการปรับปรุง เมืองใหม่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถานีรถไฟใหม่ที่แสนไฮเทค (คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2015) ซึ่งเปรียบได้กับสมอเรือในย่านใหม่ที่สามารถรองรับผู้คนได้กว่า 13,000 คน หรือเกาะใหญ่ใกล้กับแม่น้ำดานูบที่กำลังกลายสภาพเป็นถิ่นเก๋ๆ ของชาวโบฮีเมียน เพราะโรงแรมสุดฮิปในเครือโซฟิเทลที่ออกแบบโดยฌอง นูแวล (Jean Nouvel) สถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศส กำลังจะเปิดตัวขึ้นในเดือนธันวาคมปีนี้ (2011) ตามด้วยมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2012

อันดับที่ 5 – เมลเบิร์น (Melbourne) ประเทศออสเตรเลีย
(อันดับที่ 9 ในปี 2010)

“การเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งกำลังจะทำให้เมลเบิร์นกลายเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย”

เมลเบิร์นกำลังเติบโตอย่างหยุดไม่อยู่ ทางตะวันตกของเมืองในเขต Dockland มีการก่อสร้างใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งคาดการณ์ว่า ภายในปี 2020 นี้ Dockland จะมีที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอีกราว 3,400 ยูนิต ซึ่งนั่นจะทำให้ย่านนี้กลายเป็นย่านที่เต็มไปด้วยบ้านเรือน (รองรับคนได้กว่า 17,000 คน) สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ร้านค้า ลานกีฬา และถนนสายพาณิชย์อีกหลายสาย

โดยสิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือ “วิธีการ” ที่เมืองๆ นี้ใช้จัดการกับความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้น

อันดับที่ 4 – มิวนิค (Munich) ประเทศเยอรมันนี
(อันดับที่ 1 เมื่อปี 2010)

“แม้จะอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความอนุรักษ์นิยม แต่มันก็เพียบพร้อมไปด้วยความก้าวหน้าเช่นกัน”

มิวนิคเป็นเมืองหนึ่งที่มีระบบการจัดการดีที่สุดในโลก และมีระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดในแคว้นบาวาเรีย ตลอดจนมีสมดุลยภาพระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานในระดับที่น่าอิจฉา เมืองๆ นี้ได้รับการรับรองให้เป็นพื้นที่ของ “เบียร์การ์เด้น” อีกทั้งยังเป็นสถานที่ตั้งของ “ตลาดวิคทัวเลียน” (Vikualien markt) อันแสนโด่งดังอีกด้วย

ขณะนี้ชาวเมืองมิวนิคกำลังยุ่งอยู่กับการจัดการตัวเอง และลุ้นว่าจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคฤดูหนาวปี 2018 หรือไม่

อันดับที่ 3 – โคเปนเฮเกน (Copenhagen) ประเทศเดนมาร์ก
(อันดับที่ 2 เมื่อปี 2010)

“เมืองริมน้ำที่มีความสำคัญและมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ลงตัว”

กรุงโคเปนเฮเกนตั้งเป้าไว้ว่า จะเป็นเมืองที่มีอัตราคาร์บอนสมดุล (Carbon- Neutral) ให้ได้ภายในปี 2025 ซึ่งในการนี้คงต้องยกเครดิตให้กับเหล่าประชากรหนุ่มสาวหัวก้าวหน้าที่ทำให้ เราเชื่อว่าเป้านั้นไม่ใช่สิ่งเกินฝัน

เหตุผลแรก ชาวเมืองๆ นี้เลือกใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง พวกเขาเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเป็นตัวเลือกแรกเสมอ (เมื่อจับจ่ายข้าวของในซุปเปอร์มาร์เก็ต) แถมเป็นผู้ที่รู้จักเลือกสรรสิ่งดีมีคุณภาพเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ อาหาร ไปจนถึงเรื่องของผังเมือง

เหตุผลที่สอง ชาวเมืองส่วนใหญ่ตระหนักและยอมรับว่า ถ้าประเทศของเขากลายเป็นห้องทดลองสีเขียวสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ แล้วล่ะก็ ความเจริญและความร่ำรวยก็จะตามมาเองในที่สุด

อันดับที่ 2 – ซูริค (Zurich) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
(อันดับที่ 3 เมื่อปี 2010)

“เมืองที่ใหญ่ที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ เมืองที่กำลังพุ่งไปข้างหน้า ขึ้นไปข้างบน และเที่ยงตรงแม่นยำอย่างที่สุด!”

The Prime Tower ตึกแลนด์มาร์คประจำกรุงซูริค (ความสูง 126 เมตร) ไม่ได้มีดีกรีเป็นแค่ตึกระฟ้าของประเทศเล็กๆ ที่รุ่งเรืองเท่านั้น แต่มันยังเป็นตัวแทนของ “ข้อผูกมัดใหม่” เกี่ยวกับเรื่องสถาปัตยกรรมที่กำลังพัฒนาก้าวหน้าขึ้นด้วย

ราคาที่พุ่งสูงอย่างน่าตระหนกของ ออฟฟิศและที่อยู่อาศัยผลักดันในซูริคต้องหวนคิดถึงเรื่องการวางผังเมืองใหม่ อีกครั้ง (พื้นที่ 6,000 ตารางเมตรของอาคารสำนักงานที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จะมีผลกับค่าเช่าในอนาคต) อย่างไรก็ตาม ในด้านอื่นๆ แล้วกลุ่มผู้บริหารเมืองก็ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ส่งผลให้อาชญากรรมด้านการปล้นจี้ลดลงถึง 23% การว่างงานลดลง 0.5% จากปีที่แล้ว นอกจากนั้นอัตราส่วนของแพทย์ก็ยังเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร และแน่นอนว่าเรื่องของระบบการคมนาคมขนส่งก็ดำเนินไปอย่างแม่นยำและตรงเวลา เช่นเดียวกับนาฬิกาสวิส!

อันดับที่ 1 – เฮลซิงกิ (Helsinki) ประเทศฟินแลนด์
(อันดับที่ 5 เมื่อปี 2010)

“เมืองที่มีอาชญากรรมน้อย อัตราการว่างงานต่ำ ขณะเดียวกันก็มีระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม และมีวัฒนธรรมด้านอาหารที่กำลังบูมสุดๆ”

ทั้งๆ ที่ในฤดูหนาวเฮลซิงกิมีหิมะปกคลุมหนาเตอะ และมีอุณหภูมิลดต่ำลงถึง -25 องศาเซลเซียส แต่จากสถิติที่มีมา สนามบิน Helsinki Vantaa เคยปิดทำการไปเพียงแค่ “ครึ่งชั่วโมง” เท่านั้นในรอบ 8 ปี และที่น่าจับตาเป็นที่สุดก็คือ ในปี 2012 นี้ เฮลซิงกิได้รับเลือกให้เป็น World Design Capital ซึ่งการนี้ผู้บริหารเมืองได้ตั้งปณิธานว่า จะทำให้น้ำในทะเลสาบทั้งหมดเป็นน้ำที่คนสามารถดื่มกินได้ และกล้าพอที่จะย้ายท่าเรือใหญ่ถึง 2 แห่งไปไว้ที่ฝั่งตะวันออก

จากผลการสำรวจในปี 2010 พบว่ามีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเมืองเล็กๆ (อย่างเฮลซิงกิ) นี้มากถึง 3 ล้านคน จนทำให้ทั่วทั้งตัวเมืองเต็มไปด้วยสถานที่สังสรรค์ บาร์ คาเฟ่ คอฟฟี่ช็อป และร้านอาหารรสเลิศ

เครดิต :: http://article.tcdcconnect.com/ideas/best-25-living-cities




0 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม