2012 Chevrolet Captiva ..มีดีทุกด้านแต่น่ารอดีเซล!!


ก็ห่างหายกันไป 1 วันเต็มๆครับ สำหรับการอัพเดทเว็บ Sanook! Auto ของเราที่ในครั้งนี้หายไปแบบแอบเซอร์ไพร์ส เพื่อทำภารกิจฟิชโช่ที่ทางค่ายยานยนต์โบว์ไทน์บุ๊คตัวไปขับทดสอบรถอเนกประสงค์คันใหม่ ที่หวังปั้นยอดขายดึงใจด้วยหนึ่งเดียวในตลาดอเนกประสงค์ที่ใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล E85 ได้

ความเป็นหนึ่งที่บุกเบิกในตลาดอเนกประสงค์นี้ ทำให้เรารู้สึกสนใจเจ้ารถอเนกประสงค์คันนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำมัน E85 ที่ถูกพอๆกับเติมแก๊ส แต่อาจจะยังหาใช้ยากสักหน่อยที่คงต้องรอค่ายน้ำมันยักษ์ใหญ่ช่วยดัน ถึงแม้นโยบายในเรื่อง e85 นี้จะมีมานานกว่า 4-5 ปีแล้วก็ตาม

2012 Chevrolet Captiva

LTZ ...ที่สุดในตัวท๊อปที่ครบเครื่องจากโรงงาน

หลังจากฝ่าการจราจรในเมืองมาจนถึงที่นัดหมายย่านใจกลางเมืองเราก็พบกับ Chevrolet Captiva ใหม่ที่พร้อมรอให้เราขับในโรงแรมย่านราชประสงค์ ซึ่งเส้นทางของเรานั้นคือขับจากใจกลางเมืองสู่ปลายทางธรรมชาติที่เขาใหญ่ โดยมีระยะทางประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร เป็นบททดสอบสำคัญ

เราใช้เวลาเดินสำรวจรถสักครู่หนึ่งเพื่อหาข้อแตกต่างของรถรุ่นใหม่จากรุ่นเดิมที่สามารถสังเกตได้ทันทีที่มันเตะตาด้วยลุคที่โมเดิร์นและดุดันยิ่งขึ้น ไฟที่ดูหรูหราถูกปรับให้สปอร์ต มีเพื่อนสื่อบางท่านบอกว่าเหมือนไฟ Lancer EX แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในรุ่นท๊อปสุดนี้มาพร้อมล้อขอบ 19 นิ้ว และยาง Hankook Optima จากโรงงาน ส่วนบั้นท้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยและที่เซ็งที่สุดคือตำแหน่งการวางยางอะไหล่ใต้ท้องด้านหลัง ที่ยืนใกล้ๆอาจจะเฉยๆ แต่เมื่อยืนไกลๆก็จะเห็นชัดเจน ยิ่งใครขับตามกลางคืนส่องไฟหน้าเข้า แทบจะร้องว่า "แม่เจ้า!" เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับรถราคาล้านกลาง แต่ได้ข่าวว่าวิศวกรก็สังเกตเห็นข้อนี้เช่นกันและอาจจะเอาออกแล้วแทนที่ด้วยตัวช่วยแบบอื่นๆ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยใช้แรง

2012 Chevrolet Captiva

ในช่วงแรกเรารับบทเป็นผู้โดยสารที่ดีเพื่อสัมผัสอรรถรสเต็มที่ของ Chevrolet Captiva ใหม่ ซึ่งทันทีที่ปิดประตูหย่อนตัวลงบนเบาะหน้า ก็สามารถรับรู้ความรู้สึกที่สะดวกสบายทันสมัย ตบแต่งอย่างลงตัว กลิ่นไอความสปอร์ตแฝงมาเล็กๆ ที่จะพอรู้สึกได้ แต่โดยรวมการออกแบบคอนโซลหน้าทำได้ดี ช่องเก็บของต่างๆ เพียบ ส่วนด้านหลังนั่งสบายไร้ปัญหาไม่ว่าจะตัวใหญ่แค่ไหนก็ลงตัว มีพื้นที่วางขาเหลือพอให้นั่งขัดสมาธิ แต่ที่ดูเหมือนจะขาดคือแอร์ตอนหลังที่น่าจะเพิ่มเข้ามาในอนาคต

เมื่อเริ่มออกจากจุดสตาร์ทเพื่อนสื่อมวลชนของเราพาเราทะยานผ่านการจราจรที่ติดขัดในเมือง ย่านราชประสงค์มุ่งสู่ถนนพระรามที่ 4 เพื่อต่ออยอดออกนอกเมืองนั้น Captiva ค่อนข้างให้ความคล่องตัวได้ดีในระดับหนึ่ง การใช้พวงมาลัยนั้นเท่าที่สังเกตค่อนข้างมีความแม่นยำในระดับที่น่าพอใจ

เรามุ่งเข้ามอเตอร์เวย์ที่เพียงอึดใจเดียวความเร็วก็ไต่ไประดับ 130 ก.ม./ชม. จนแทบไม่ทันสังเกตเพราะเสียงเครื่องนิ่มมาก ประกอบกับเสียงรบกวนจากห้องโดยสารก็ถูกขจัดแทบหมดสิ้นเสียงแหวกลมที่รบกวนใจ ในขณะที่การสั่งสะเทือนจากการขับขี่ในห้องโดยสารไม่ค่อยไม่ค่อยมีมากมายนัก แม้จะเป็นล้ออัลลอยขอบ 19 นิ้ว ก็ตาม

2012 Chevrolet Captiva

การขับขี่สนุกที่ผ่านการทดสอบจริง

ความสบายในการขับขี่นั้นทำให้สุนทรีย์การเดินทางดีขึ้นโดยที่ไม่รบกวนใจในระหว่างล้อหมุนยิ่งได้ระบบ 3D Sound staging ที่ขับกล่อมผ่านลำโพง 8 ตัวในรถ ควบคุมการทำงานอย่างเหนือชั้นผ่านชุดควบคุมคอมพิวเตอร์ ทำให้รู้สึกได้ว่าเครื่องเสียงในรถนั้นมีมิติเสียงที่แตกต่างอยากชัดเจน โดยสามารถเลือกได้ 2 โหมด คือ Passenger และ Driver ให้การตอบสนองผ่านเสียงกลางและเสียงแหลม โดยมาพร้อมระบบนำทาง และช่องเสียบ USB ที่ต้องปลดคอนโซลกลางเลื่อนถอยหลังเพื่อเสียบใส่ ซึ่งอาจจะลำบากถ้าคุณขับรถคนเดียว

การเดินทางของเรานั้นไม่นานก็มาถึงฉะเชิงเทรา ที่ใครจะคิดว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นบททดสอบสำคัญ ที่ก่อนหน้าที่เราจะออกเดินทาง GM ได้บอกข้อมูลมาคร่าวๆว่าพวกเขาจัด E85 ไว้ให้ได้ลิ้มลองกัน ซึ่งระหว่างทางที่มาก็ตอบสนองได้ดี แต่จะเอาอะไรเป็นตัวชี้วัดที่ดีว่ารถคันนี้ทรงสมรรถนะ

2012 Chevrolet Captiva

คำตอบนี้ไม่มีอะไรดีเท่าการขึ้นประชันกับรถของคู่แข่งค่ายๆอื่น ที่ไม่ช้านานเราก็โดนเพื่อนในคาราวานทดสอบส่งไม้ให้ไปไล่ BMW X3 ซึ่งขับบึ่งตามกันมา ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าไม่ถูกต้องนักและไม่ควรทำเป็นเยี่ยงอย่าง แต่เพื่อนสื่อมวลชนผู้กุมพวงมาลัย ก็อยากลองว่าสมรรถนะ Captiva ใหม่ จะไปได้ไกลแค่ไหนกัน

ในตอนที่แซงผ่านไปนั้นเราลอยอยู่ที่ความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก่อนที่จะกระชากเข้าสู่โหมด Driver Shift Control ที่ใช้งานง่านดายเพียงผลักออกข้างซ้ายของตำแหน่ง D แล้วผลักคันเกียร์ขึ้น เพื่อเพิ่มตำแหน่งเกียร์ และตบลงเพื่อลดตำแหน่งเกียร์ ซึ่งทันทีที่เข้าโหมดนี้ เราพบว่าการสั่งการเปลี่ยนเกียร์ Captiva ใหม่ ออกแนวหน่วงเล็กน้อย ก่อนจัดการตามใจฉันแต่ก็ไม่เลวร้ายนักถ้าจับจังหวะได้ แล้วเราก็เร่งเข้าประชิดคู่ขาทันที

2012 Chevrolet Captiva

ถ้าเทียบ Captiva กับรถอเนกประสงค์ยุโรปนั้นถือว่าเป็นโจทย์ที่ค่อนข้างหนักเอาการและเพื่อนสื่อฯ เราก็พยายามเค้นสุดชีวิตพร้อม 4 ชีวิตในรถและสัมภาระกระเป๋าเป้คนละใบ ทำการประชิดข้าศึกจนทะลุเพดานความเร็วปลายได้ที่ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่รอบ 5000 กว่าๆ รอบต่อนาที

ส่วนคู่แข่งเราก็หนีเต็มที่แต่ก็ห่างกันเพียงช่วง 2 คันรถ แต่แล้วเราก็พบปัญหาอย่างหนึ่งคือถ้าคุณเค้นพละกำลังมากจะได้กลิ่นน้ำมันเข้ารถอย่างชัดเจนได้ดมกันทั่วหน้า ที่อาจจะไม่ใช่เรื่องที่น่าปลื้มนักถ้าลูกค้าใช้งานและเดินทางไปกับครอบครัว

หลังทานมื้อเที่ยงจนอิ่มหนำในที่สุดก็เป็นโอกาสของเราที่จะได้สัมผัสการขับขี่ของ Chevrolet captiva ใหม่ด้วยตนเอง ที่เส้นทางใน session 3 นี้ค่อนข้างจะเป็นเส้นทางผสมผสาน ทั้งทางลาดยางและลูกรัง ซึ่งทันทีที่หย่อนตัวลงบนเบาะค่อนข้างน่าประทับใจในความนุ่มสบายก่อนปรับเบาะที่ทำงานด้วยไฟฟ้าใช้งานง่ายไม่ยากจนเกินเข้าใจให้พอดีกับท่านั่ง ที่ตัวผมสูง 183 หนักตอนนี้เริ่มอ้วนที่ 93 กิโลกรัมนั้น ไม่อึดอัดแถมพื้นที่วางขาเหลือเฟือ แล้วจัดปรับพวงมาลัยให้เหมาะสมรัดเข็ดขัดพร้อมออกเดินทาง

2012 Chevrolet Captiva

ทันทีที่เลื่อนรถสู่การเดินทาง ความรู้สึกทางด้านระบบกันสะเทือนนั้นต้องยอมรับว่าเซทมาอย่างดีจนให้ความประทับใจในการขับขี่แม้จะมีเรื่องกวนใจจากเสียงยางบ้างแต่ก็ถือว่ารับได้ เราขับรถมาเรื่อยก่อนยูเทิร์นเข้าทางของคนในพื้นที่ ซึ่งเส้นทางนี้ค่อนข้างคดเคี้ยวเลี้ยวไปๆมาๆ แต่ช่วงCaptiva ก็ตอบสนองได้ดี เกาะแน่นไม่ย้วย ส่วนหนึ่งมาจากระบบ Traction Contol และการทำงานของ ESP แต่ก็ทำได้ดีเช่นกันเมื่อลองแอบปลดระบบเพื่อความมันส์ ส่วนการโยนตัวในห้องโดยสารนั้นมีเป็นธรรมดาแต่ไม่โคลงมาก ส่วนด้านหลังก็ไม่โยนจนเวียนหัว ถือว่าผ่าน

เราขับมาได้สักพักก็มาเจอทางฝุ่นในถนนปลอดฝุ่น ที่เล่นเอางงตามๆกัน แต่คาราวานเราก็ลุยดะเล่นเอาฝุ่นตลบจนชาวบ้านฝากของแถมมาเป็นนิ้วกลาง ทว่ากลับมาที่บททดสอบ ในจุดนี้รถอเนกประสงค์โบว์สามารถตอบสนองได้ดี แม้ช่วงล่างที่เราบอกแน่นมากน่าจะให้ความรู้สึกกระด้างบนถนนแบบนี้แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย

เทคโนโลยีที่เพียบและพร้อมใช้

หลังจากที่เราฝ่าทางลูกรังมาได้ ผมก็ได้โดกาสทดสอบอัตราเร่งของรถอย่างเต็มที่ ที่เราพบว่า Captiva สามารถตอบสนองได้ดีในช่วงรอบกลาง (3-4 พันรอบ) และทำได้ดีขึ้นเมื่อใช้โหมดสับเองแต่ระหว่างเปลี่ยนโหมดนั้นจะมีหน่วงอย่างที่กล่าวไปแล้วประมาณเสี้ยววินาที ส่วนพวงมาลัยนั้นค่อนข้างเบาแต่แม่นยำสูงพอตัวเลยทีเดียว

2012 Chevrolet Captiva

เราลองเหวี่ยงโค้งเล็กน้อยในย่านความเร็วสูงพบว่าไม่มีหนทางใดที่จะทำให้ได้ยินเสียงยางดังเอี๊ยดๆ!! ทว่าพละกำลังเครื่องจากเบนซินนั้นอาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย โดยเฉพาะยามขึ้นเขาหรือทางชัน เพราะรถจะอืดอย่างชัดเจนจนเหมือนไม่กำลังแต่แก้ได้ด้วยการ คิกดาวน์หรือใช้โหมดตัวช่วยเพื่อลดตำแหน่งเกียร์ ก็พอไหวอยู่

ไม่นานเราก็มาถึงที่หมายที่เป็นอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ ซึ่งตรงนี้เป็นจุดสำคัญในการทดสอบ Hill Decent Control(HDC) ที่ทำงานทันที่กดปุ่มตรงคอนโซลกลาง ใกล้มือซ้ายคนขับ ระบบก็จะเริ่มสั่งการรักษาความเร็วในการลงทางลาดชั้นไม่ให้พุ่งหลาว น่าจะมีประโยชน์มากสำหรับทางชัน แต่หากใช้ร่วมกับ Cruise Control นั้นจะเป็นการรักษาระดับความเร็วที่เดินทางมากเช่นเดินทางมา 20 ก.ม. /ชั่วโมงแล้วล็อคไว้ เมื่อ ทำงานกับ HDC ก็จะปรับการลงเขาในความเร็วของ Cruise speed นั่นเอง

พูดถึง Cruise Control ระบบรักษาความเร็วใน Captiva ใหม่นี้ก็ค่อนข้างใช้งานง่ายทั้งหมดอยู่บนพวงมาลยทางด้านขวา ที่ยังมีการปรับเครื่องเสียงและแอร์เสริมเข้ามาเยอะจนสับสน แต่ก็มีการเล่นระดับให้จับความรู้สึกได้ โดยในส่วนของcruise นั้นพอเปิดSwitch แล้วกดปุ่น Set ที่อยู่ด้านหลังด้านล่างก็จะทำการล็อคความเร็วทันที ซึ่งนอกจากนี้หากใช้ร่วมกับตำแหน่งเกียร์ D และ Eco โหมดที่สามารถเลือกให้ประหยัดได้ ก็พอเห็นตัวเลขประหยัดแถวๆ 10 กิโลเมตรต่อลิตรกันอยู่บ้าง

2012 Chevrolet Captiva

ท้ายที่สุดเราก็เดินทางมาถึงที่พักย่านเขาใหญ่ ที่ซึ่งเราได้ทดลองระบบ Hill Start Assist ระหว่างทางขึ้นลาดชันของ lobby ระบบนี้จะช่วยหน่วงประมาณ 2 วินาที ซึ่งเมื่อทำงานกับเกียร์อัตโนมัติรถจะไม่ไหลเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในกลุ่มเบนซินนี้ ที่มีแรงบิดสูงในรอบกลางชัดเจนมาก และมีประโยชน์มากต่อท่านสตรีเพศ


LT พระรองก็น่าคบแค่แตกต่างกันเล็กน้อย

หลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนหวานในเช้าวันใหม่นี้เราก้ได้ฤกษ์เดินทางกลับเมืองหลวง ที่เราแทบจะไม่อยากออกจากห้องของ "มุติมายา" รีสอร์ทแสนสวยระดับหรูที่หากมีโอกาสต้องมาสัมผัสความเป็นธรรมชาติที่นี่

ในแมทช์ขากลับนี้เราโบกมือลาเจ้า LTZ แล้วโดดขึ้นรุ่น LT แต่ทีแรกก็นึกว่าเพื่อนๆสื่อจะขับกลับแต่กับให้เรารับหน้าที่พลขับกลับยังกทม. แทนเสียอย่างงั้น การขับรุ่นพระรองนั้นเมื่อหย่อนตัวนั่งลงบนเบาะที่ตบแต่งเหมือนกันทำให้รู้สึกไม่แตกต่างอะไรมากมายจากรุ่นท๊อปนัก ทั้งเกียร์ 6 สปีด แอร์อัตโนมัติ ฟังชั่นความปลอดภัยและเทคโนโลยีชั้นนำยังมาครบครัน จะขาดก็แต่จอนาวิเกชั่นและทัชสกรีน 7นิ้วที่ยังไร้วี่แววช่องเสียบ USB ด้วย

2012 Chevrolet Captiva

เราเดินทางออกตามเส้นทางถนนมิตรภาพที่สามารถรู้สึกได้ว่าเสียงยางตีปั๊บๆ หายไป เพราะมาล้อคันนี้ใช้ขอบ 18 นิ้ว แต่แทนที่จะรู้สึกว่ารถนุ่มกว่าเจ้าตัวท๊อปกับแข็งกระด้างกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากยางอีกเช่นเคยที่เลือกใช้ยาง Dunlop ซึ่งยี่ห้อนี้มีเอกลักษณ์ความเป็นสปอร์ตก็ไม่น่าแปลกใจนัก

โดยรวมสมรรถนะการขับขี่ไม่ต่างจากตัวท๊อปการเก็บเสียงห้องโดยสารก็ทำไม่ได้แพ้รุ่นพี่ แต่แล้วเราก็มาเจอบททดสอบสำคัญช่วงปากช่องเมื่อเพื่อนร่วมทาง เกิดตัดโค้งเข้ามาและในขณะที่อัด140 ก.ม./ชม. เรารู้สึกว่ารถจะมีอาการโยนออกมากขึ้นเมื่อยางแก้มสูงกว่า การเกาะถนนมีความแม่นยำลดลงจนพอสังเกตได้แต่ก็ไม่มากมายนัก เราทำเวลาเข้ากรุงพอสมควรและจัดเต็มบนทางด่วนโทลเวย์เพื่อทดสอบโหมดความเร็วสูงแต่กระแทกกระทั้นเท่าไรความเร็วก็แตะ 170 กม/ชม. เหมือนเดิม ซึ่งไม่แน่ใมจว่าตั้งใจล็อคไว้หรือไม่ ในขณะที่การทรงตัวนั้นทำได้ดีแม้จะเจอวูบวาบบ้างถ้าเจอลมข้าง(Cross Wind)แรงๆ

2012 Chevrolet Captiva

ทั้งนี้หลังจากขับทดสอบ Chevrolet Captiva ใหม่นี้ ต้องยอมรับครับว่าเป็นรถที่มีความอเนประสงค์ลงตัวสมรรถนะการขับขี่เน้นย่านความเร็วเดินทาง ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันที่เราขับความเร็วเฉลี่ย 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแทบจะตลอดทางและย่านความเร็วสูงนั้น เราได้ตัวเลประหยัดจาก trip meter ที่ 12.7 ลิตร/100 กิโลเมตร หรือประมาณ 7-8 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งไม่น่าแปลกใจสำหรับรถที่มีน้ำหนัก 1.8 ตัน ที่รวมผู้โดยสาร 4 คน+สัมภาระก็น่าจะราวๆ 2 ตันได้

****อย่างไรก็ดีเท่าที่ได้พูดคุยหลังทดสอบทาง Chevrolet ได้แบไต๋มาว่ารุ่นดีเซลมีแน่แต่จะออกมาในช่วงหลังจากนี้ 6 เดือนหรือในต้นปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นเพราะรอเครื่องใหม่จากกระบะขั้นเทพของค่าย ที่หากไม่รีบรอได้ก็น่าจะรอ

คะแนนขับขี่โดยรวม ของ 2012 Chevrolet captiva

หัวข้อ

คะแนน (เต็ม10) ให้

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

รูปลักษณ์ภายนอก

8

น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงบั้นท้ายบ้างโดยเฉพาะเรื่องของที่ไว้ยางอะไหล่ที่โผล่มาจนไม่น่าประทับใจสำหรับรถที่มีราคาล้านอัพ

ภายในห้องโดยสาร

9.5

ทุกอย่างลงตัวเราชอบมากโดยเฉพาะการตบแต่ง แต่ด้วยความเยอะบางทีก็พาสับสนไป โดยเฉพาะที่พวงมาลัยคงต้องใช้ความคุ้นเคย แต่ถือว่ายอดเยี่ยม ทั้งความกว้างด้านหน้า-ด้านหลัง รวมถึงส่วนสัมภาระด้วย แต่น่าจะเพิ่มแอร์ตอนหลัง เพื่อการกระจายลมเย็น

สมรรถนะเครื่องยนต์-ความประหยัด

9

อย่างที่กล่าวว่ารถคันนี้มีดีที่ E85 และเราขอปรบมือให้ความตั้งใจจริงขิง GM แต่เรื่องกลิ่นน้ำมันเข้ารถในการเค้นเครื่อง นี่ต้องแก้ไขโดยไว ส่วนเกียร์ก็หน่วงไปหน่อยถ้ายามคับขันอาจจะเป็นปัญหาได้ แต่การไล่ X3 พอตามตูดได้ถือว่าโอเคเลย

การเกาะถนนและเทคโนโลยี

9.5

ทำได้ดีในจุดนี้ ความหนึบแน่นนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากเทคโนโลยี แต่เราลองแอบปลอดระบบดูก็ถือว่าใช้ได้แท้จะโยนๆไปบ้างก็ตาม




0 ความคิดเห็น:

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม