ด้วยปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันแพง
บวกกับเทรนด์รถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ Eco Car
กำลังฮอตฮิตในยุคปัจจุบัน ส่งผลให้ Honda Brio ถูกคาดหวังอย่างสูงในทุก ๆ
ด้าน
โดยก่อนที่ทีมข่าวรถวันนี้และโลกวันนี้รายวันจะเดินทางมาทดสอบบนเส้นทาง
เชียงราย-ดอยตุง
เพื่อนฝูงต่างฝากประเด็นมาให้ค้นหาและพิสูจน์เจ้าเก๋งเล็กดีไซน์เตะตาคันนี้
ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ ความน่าใช้ กำลังเครื่องยนต์ ช่วงล่าง
เรื่อยมาถึงความสะดวกสบายของห้องโดยสาร ที่สำคัญยังให้เทียบรุ่นกับ Nissan
March ว่า ความเหมือนบนความต่างมีอะไรบ้าง
รูปทรงและภายใน ดีไซน์สวยทันสมัย
ดีไซน์ตัวรถ จะว่าไปแล้วถือเป็นเรื่องนานาจิตตัง โดย Honda Brio
ถูกพัฒนาให้เป็นรถที่เน้นขับในเมือง รูปทรงดูสวยและโฉบเฉี่ยว
ทำให้ต้องตาต้องใจสาว ๆ และวัยรุ่นเป็นอย่างดี กระจังหน้าทรงปีกเครื่องบิน
ติดโลโก้ตรงกลาง ช่องลมทรงเหลี่ยมคางหมูดูกลมกลืนกับกันชน
ที่มีรูปทรงแฝงความสปอร์ต ดวงไฟทรงหยดน้ำรับกับซุ้มล้อ ฝากระโปรง
และแนวเส้นที่แนบข้างลำตัวไปตลอดคัน ผิดกับ March ที่มีรูปทรงป้อม ๆ โค้งมน
ด้านท้าย Brio ออกแบบได้น่ามอง
ด้วยกันชนทรงโตและดวงไฟท้ายใหญ่ทรงเหลี่ยมรับกับฝาประตูแผ่นกระจกหนาทั้งบาน
ภาพโดยรวมในการดีไซน์ดูหรูและแฝงอารมณ์สปอร์ตกว่าคู่แข่ง ภายในเลือกใช้โทนสีเบจ ทำให้มีมิติที่ดูกว้างขึ้น เบาะนั่งแถวหน้านั่งสบายลงตัวก็จริง แต่จะดีกว่านี้หากปรับระดับสูงต่ำได้ เบาะหลังดูแข็งแรงกว่า ตัวพนักพิงให้องศาลาดกว่า ช่วยให้นั่งสบาย และยังพับเบาะเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ พวงมาลัย 3 ก้าน คอนโซลกลางดูกลมกลืนกับมาตรวัดเรืองแสงแบบอนาล็อกผสมดิจิตอลแบบ 3 วง พร้อมระบบเครื่องเสียงแบบ 2 DIN ที่มาพร้อมกับช่องต่อ USB โหมดหรือปุ่มควบคุมใช้งานง่าย
ขับสนุก ช่วงล่างหนึบ...ดีเกินคาด
จากโจทย์เส้นทางทดสอบ ทั้งในตัวเมืองเชียงราย ระยะทางร่วม 13 กม. ในรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด ตัวท็อป และจากเชียงราย-ดอยตุง-เชียงราย ระยะทาง 113 กม. ในรุ่นท็อปเกียร์อัตโนมัติ CVT จะว่าไปแล้วนับเป็นความหาญกล้าของค่ายฮอนด้าที่หวังจะมัดใจลูกค้าให้เห็นถึง จุดเด่นของรถ
กับที่วางอยู่ใน City และ Jazz ส่วนระบบความปลอดภัยมีมาครบ รวมถึงอัตราประหยัดน้ำมัน 20 กิโลเมตรต่อลิตร ตามข้อกำหนด BIO โดยเฉพาะการขับบนเส้นทางเชียงราย-ดอยตุง-เชียงราย สะท้อนให้เห็นถึงความคล่องตัวในการขับขี่ แฮนเดอริ่งพวงมาลัย ตลอดจนสมรรถนะขุมพลัง อัตราเร่ง ระบบช่วงล่าง โดยมีไฮไลต์การทดสอบบนทางไฮเวย์ และทางลาดชัน ทางโค้งบนดอยเป็นอุปสรรคให้ได้พิสูจน์
เกียร์ธรรมดา 5 สปีด รอบจัดอัตราเร่งโดนใจ
เริ่มแรกขับรุ่นเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แม้จะใช้เวลาและระยะทางในการทดสอบไม่มากนัก แต่ทำให้รับรู้ได้ถึงความคล่องตัวของพวงมาลัยที่ฉับไว แรก ๆ ผมคิดว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นกับผมเท่านั้น แต่ครั้นไล่ถามนักข่าวรุ่นน้องทั้งชายและหญิง ทุกคนลงความเห็นทำนองเดียวกันว่าไวเกินควร ขณะที่วิศวกรญี่ปุ่นกล่าวว่า นี่เป็นความตั้งใจ เพราะจากผลสำรวจที่ทำวิจัยบ่งชี้ให้เซ็ตอัพพวงมาลัยตามใจประดาแฟนพันธุ์แท้ ฮอนด้าเพศผู้หญิงโดยเฉพาะ
เร็วปลายไม่ดีนัก และสู้คู่แข่งไม่ได้
เกียร์อัตโนมัติ CVT ขับสนุก ขับง่าย
จากนั้นย้ายมาขับรุ่นท็อปเกียร์อัตโนมัติ CVT กับเส้นทางไกล ผมเริ่มจะคุ้นกับความไวของพวงมาลัยมากขึ้น ช่วยให้การเลี้ยวกลับรถ รวมถึงจังหวะซุกแซงคล่องตัว ครั้นพ้นเขตชุมชนเจอทางโล่ง ๆ ไม่รอช้าทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังทดสอบรถ Eco Car จะไปคาดหวังกับสมรรถนะช่วงล่างและความเร็วปลายไม่ได้นัก
ขณะหวดความเร็วที่ 145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะยกคันเร่ง ความเร็วลดมาอยู่ที่ 100-110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพราะเจอฝนกระหน่ำ เหลือบไปที่บานกระจกหลัง ซึ่งเป็นเสมือนประตูบานที่ 5 พร้อมคลำหาโหมดเปิดใบปัดน้ำฝนหลัง ปรากฏว่าไม่มี ผมภาวนาอย่าให้ละอองโคลนเกาะบานกระจกมากกว่านี้ เพราะไม่อยากจอดรถลงไปเช็ด และเหลือระยะทางขับขึ้นลงบนดอยตุงอีกหลายสิบกิโลเมตร (ผลวิจัยวิศวกรญี่ปุ่นระบุว่า อัตราจับฝุ่นละอองใกล้เคียงรถซีดานและไม่ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการขับขี่) งานนี้ขอเถียงว่า ไม่จริง! เพราะประสบมากับตัวเองมา
ช่วงล่างหนึบดีกว่าที่คาด
และแล้ว...ไฮไลต์ของการทดสอบก็มาถึง กับเส้นทางลาดชันผสมทางโค้งบนดอยตุง เป็นโจทย์ท้าทายคนขับ และยังเป็นความตั้งใจของฮอนด้าที่หวังให้สื่อมวลชนและลูกค้าได้ประจักษ์จุด เด่นของระบบช่วงล่าง รวมถึงการตอบสนองระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT และขุมพลังเครื่องยนต์
งานนี้ไม่มีมีใครยอมใคร ทั้งบด-อัด-ยัดเกียร์-ใส่ความเร็ว-สาวพวงมาลัยกันไม่ยั้ง ทำให้ทุกคนขับอย่าง
เพลิดเพลินกันเต็มเหนี่ยว ไร้เสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร ขากลับเข้าตัวเมืองเชียงราย ทุกคนยังคงสนุกกับการขับขี่กันอย่างเต็มที่ ผมพยายามค้นหาข้อเสนอแนะต่อวิศวกรญี่ปุ่นในช่วง Q&A ภายใต้ความเป็นรถ Eco Car แต่ค้นหายากพอสมควร ส่วนอัตราประหยัดน้ำมันดูค่าเฉลี่ยแล้วบริโภคเฉลี่ย 14 กิโลเมตรต่อลิตร นอกจากเรื่องคาใจคือ ใบปัดน้ำฝนหลัง บานกระจกหลัง และความแข็งแรงของคานด้านท้ายเพื่อรองรับกับการชนปะทะด้านหลัง
สรุป...สมรรถนะดีกว่าที่คาด
จากการทดสอบต้องยอมรับว่า Honda Brio รถ Eco Car ไม่ทำให้ผิดหวังแต่อย่างใด เป็นรถเล็กที่มีดีเกินตัว ภายนอกและภายในโฉบเฉี่ยวทันสมัย ช่วงล่างไว้วางใจได้ แม้จะขับด้วยความเร็วสูงระดับ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขุมพลังจัดจ้านเร้าใจตั้งแต่ตีนต้นถึงกลาง สามารถขับใช้งานในเมืองได้อย่างคล่องตัว จะเอาไปขับเที่ยวไกล ๆ ก็พอไหว แต่ถ้าใครอยากได้คงต้องรอยาวไม่น้อยกว่า 4-5 เดือนถึงจะรู้ว่าภาวการณ์ผลิตรถปรกติของ Brio จะเริ่มเมื่อไหร่
เทียบรุ่น Brio&March
ความเหมือนบนความต่าง
ต้องยอมรับว่า การพัฒนา Honda Brio ถือเป็นความท้าทายของฮอนด้าเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นรถ Eco Car คันแรกที่ฮอนด้าญี่ปุ่นเคยผลิต โดยวิศกรบอกว่าต้องใช้ความพยายามหลายด้าน เนื่องจากไม่มีประสบการณ์ผลิตรถเล็กภายใต้ข้อจำกัดที่ทาง BOI เมืองไทยกำหนด ทั้งขนาด สมรรถนะ อัตราประหยัด เซฟตี้ ราคาย่อมเยารวมถึงดีไซน์ตัวรถที่มุ่งเป้าให้เตะตาต้องใจคนรุ่นใหม่และ ผู้หญิงเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Honda Brio ถูกจับคู่ให้ชกกับ Nissan March คู่แข่งสำคัญไปโดยปริยาย และถูกคาดหวังไว้สูงว่าต้องตอบโจทย์รอบด้านของผู้ใช้ได้อย่างลงตัว เรามาดูกันต่อว่า รถทั้ง 2 รุ่นนี้มีความเหมือนบนความแตกต่างในจุดใดกันบ้าง
Honda Brio มีให้เลือกใช้ 3 รุ่น คือ รุ่น S เกียร์ธรรมดา ราคา 399,900 บาท รุ่น V เกียร์ธรรมดา ราคา 469,500 บาท และรุ่น V เกียร์อัตโนมัติ ราคา 508,500 บาท ส่วนมาร์ชมีถึง 6 รุ่นให้เลือก คือ เกียร์ธรรมดา 2 รุ่น ประกอบด้วย รุ่น S ราคา 375,000 บาท และรุ่น E 425,000 บาท ส่วนเกียร์อัตโนมัติมีรุ่น E ราคา 459,000 บาท รุ่น EL ราคา 489,000 บาท รุ่น V ราคา 507,000 บาท และรุ่น VL ราคา 537,000 บาท
มิติตัวถัง March ใหญ่กว่า Brio นิดหน่อย โดยเฉพาะห้องโดยสาร (March/Brio) 3,780/3,610 มม. กว้าง 1,665 /1,680 มม. สูง 1,515/1,485 มม. ระยะฐานล้อ 2,450/2,345 มม. ส่วนน้ำหนักก็ต่างกันเล็กน้อยราว 25-50 กก.
สำหรับสนนราคากับออพชั่นที่จัดใส่มา รุ่นเกียร์ธรรมดาของ March ตัวถูกสุดราคา 375,000 บาท กับ Brio ราคา 399,900 บาท Brio มีแอร์พร้อมกระจกไฟฟ้าเฉพาะบานคู่หน้า แต่ไม่มีเครื่องเสียง ส่วน March กระจกเป็นแบบมือหมุนทั้ง 4 บาน และมีแค่ถุงลมนิรภัยเฉพาะฝั่งคนขับ แต่ Brio อัดอุปกรณ์ความปลอดภัยมาครบ ทั้งเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ถุงลมนิรภัยคู่หน้า แต่หากดูโดยรวมแล้ว March ให้ออพชั่นมากกว่า
Nissan March มีจุดเด่นที่ระบบ Idling Stop โดยเครื่องยนต์จะหยุดทำงานเมื่อมีการจอดรถสนิท และสตาร์ตอัตโนมัติเมื่อเข้าเกียร์เหยียบคันเร่ง ขณะที่เทียบรุ่นระหว่างตัวท็อปด้วยกัน March ราคาแพงกว่า Brio 30,000 บาท แต่ได้ออพชั่นเพียบ และเพิ่มกระจกมองข้างไฟฟ้า มาตรวัดแสดงผลผ่านหน้าจอ Multi-display กุญแจอัจฉริยะ ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ และเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง 4 จุด
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น