อย่าแปลกใจคิดว่าบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านเราคุ้นชื่อกันอย่างดีจะหันมาผลิตรถสปอร์ต เพราะที่เห็นอยู่นี้ไม่เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด เนื่องจากซิงเกอร์ เวฮิเคล ดีไซน์แห่งลอสแองเจลีส สหรัฐอเมริกา ได้ซื้อสิทธิ์แบบตัวรถของ 911 รุ่นแรกมาจากปอร์เช่ จากนั้นก็จับแพะชนแกะ ผสมผสานเพื่อให้ตัวรถสามารถตอบสนองได้ดีขึ้น และรองรับกับความต้องการของลูกค้าปัจจุบันที่อยากได้ความคลาสสิคบนสมรรถนะของยานยนต์ยุคปัจจุบัน โปรเจกต์นี้ได้รับความช่วยเหลือจากทางปอร์เช่ อเมริกาเหนือ และทางซิงเกอร์ได้เลือกเอา 911 รุ่นแรกในรหัส 930 มาสร้างความเร้าใจ ด้วยการขึ้นรูปตัวถังในแบบโมโนค็อกและเสริมความแข็งแกร่งตามจุดต่างๆ รวมถึงการนำคาร์บอนไฟเบอร์มาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถัง ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาเพียง 1,090 กิโลกรัมเท่านั้นเอง
|
ตอนแรกโปรเจกต์นี้เป็นแค่งานสำหรับโชว์ตัวเมื่อปี 2009 แต่ในเมื่อมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าเพิ่มขึ้น ทางซิงเกอร์ก็เลยตัดสินใจขึ้นไลน์ผลิต โดยใช้โรงงานของตัวเองในแอลเอ และผลิตในแบบแฮนด์เมด ทั้งภายนอกและภายใน พยายามคงกลิ่นอายและรูปแบบเดิมๆ ของ 911 รุ่นแรกเอาไว้ทุกประการ แต่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยเข้าไป เช่น USB สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ระบบนำทาง GPS และระบบ Bluetooth ส่วนเครื่องยนต์ที่วางอยู่ด้านท้ายก็จับเอาขุมพลังแบบสูบนอน หรือบ็อกเซอร์รุ่นใหม่ที่มีการระบายความร้อนด้วยน้ำ (เริ่มรุ่นแรกกับ 911 รหัส 996) มาใช้แทนของเดิมที่เป็นแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
|
ขุมพลังบล็อกนี้เป็นแบบ 6 สูบที่มีความจุ 3600 ซีซี แต่มีการขยายความจุเป็น 3820 ซีซี จากความช่วยเหลือของบริษัท Ninemeister แห่งอังกฤษ และเครื่องยนต์บล็อกนี้สามารถหมุนด้วยรอบสูงสุด 8,000 รอบ/นาที โดยใช้ชิ้นส่วนร่วมกันของสำนักแต่งแห่งนี้กับชิ้นส่วนของเครื่องยนต์จาก 911 GT3 รหัส 996 เช่น เพลาข้อเหวี่ยง และอ่างน้ำมันเครื่อง ผลคือได้กำลังในระดับ 425 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 46.9 กก.-ม. อย่างไรก็ตาม ข้างบนนั้นคือรุ่นท็อป แต่รุ่นมาตรฐานจะสตาร์ทกับเครื่องยนต์ที่มีกำลังเพียง 300 แรงม้า และอีกรุ่นคือ 380 แรงม้า
|
ด้านการส่งกำลังเป็นงานของเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะอัตราทดชิดของ Getrag บวกกับคลัตช์คู่ที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวดร็วทันใจใช้เวลาเพียง 3.9 วินาที และ 8.9 วินาทีสำหรับย่านความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่ความเร็วปลายอยู่ที่ 273 กิโลเมตร/ชั่วโมง เอาเป็นว่าใครที่สนใจความคลาสสิค ซึ่งถูกผสมผสานกับเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างลงตัวก็เตรียมเงินเอาไว้ได้เลย ส่วนราคาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เริ่มต้นที่ 190,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 5.7 ล้านบาท ย้ำว่าเป็นราคาแบบยังไม่รวมภาษีนำเข้าในบ้านเรา
|
|
|
รายการที่เกี่ยวข้อง: รถยนต์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น